กว่า 22 ปี นับตั้งแต่เปิดให้บริการ “พรเกษมคลินิก” ไม่เคยแตะต้องหรือสื่อสารในเรื่อง “แบรนด์” แต่อย่างใด หลังรีแบรนด์ พร้อมตอกย้ำ Positioning ที่แตกต่างในแง่ของบุคลากรที่ล้วนเป็นแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนัง ขณะที่คู่แข่งจะมีทั้งแพทย์ทั่วไปและแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนังคละเคล้ากัน ขณะที่อีกด้านหนึ่งก็ต้องเตรียมรับมือกับแบรนด์สกินแคร์ที่ข้ามห้วยมาต่อกร
ปลายปีที่ผ่านมา พรเกษมฯ รีแบรนด์ จากเดิมดูเชยและโบราณ ปรับฟอนต์ให้ดูน่าเชื่อถือและทันสมัยมากขึ้น ทั้งยังเพิ่มเติมข้อความใหม่ “by Dermotologist” พร้อมเน้นย้ำด้วยสีแดงอย่างเด่นชัด
นายแพทย์พีระ อุดมจารุมณี กรรมการบริหาร ด้านการบริหารและจัดการ พรเกษมคลินิก บอกว่า ด้วยความเป็นแพทย์ ไม่มีความรู้เรื่องการตลาด ทำให้ที่ผ่านมาจึงไม่ได้เน้นเรื่องการสร้างแบรนด์เท่าไรนัก อาศัยปากต่อปาก ทำให้มี Loyalty Consumer จำนวนมาก แต่หลังจากการรีแบรนด์พร้อมกับใช้กลยุทธ์นี้เชื่อว่าจะช่วยให้คนไข้เกิดความมั่นใจเพิ่มขึ้น และได้คนไข้หน้าใหม่มารับการรักษาที่พรเกษมฯ มากขึ้นอีกด้วย
เขาบอกว่าแพทย์เฉพาะทางผิวหนังกว่า 30 คนของพรเกษมฯ นอกจากจะจบการศึกษาปริญญาแพทยศาสตรบัณฑิตแล้ว ยังได้รับวุฒิบัตรหรืออนุมัติผู้เชี่ยวชาญสาขา ตจวิทยา (ผิวหนัง) จากแพทยสภาทุกคน
ขณะที่แพทย์ผิวหนังซึ่งได้รับการรับรองดังกล่าวจบการศึกษาเพียง 20 คนต่อปีเท่านั้น ด้วยข้อจำกัดดังกล่าว ทำให้พรเกษมฯไม่อาจขยายสาขาได้รวดเร็วดังใจ 22 ปีที่ผ่านมาจึงมีสาขาเพียง 15 สาขา ขณะที่ราชเทวี คลินิกมี 43 สาขา แพน คลินิก มี 61 สาขา เป็นต้น แต่หลังจากรีแบรนด์แล้วในปีนี้พรเกษมฯ เตรียมเปิดสาขาใหม่อีก 5 สาขา นับเป็นปีที่มีการลงทุนมากที่สุดกว่า 100 ล้านบาท เพื่อรองรับคนไข้กว่าแสนคน และเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 10-20% ต่อปี โฟกัสในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล
ท่ามกลางการแข่งขันอย่างรุนแรงด้วย Price War และเน้นการขยายสาขาเพื่อเจาะชุมชน แต่พรเกษมฯ เน้นให้ความรู้กับคนไข้ ขณะที่เรื่องลดแลกแจกแถมแทบไม่เคยอยู่ในคัมภีร์การตลาด
“ปัจจัยที่ทำให้คลินิกประเภทนี้เติบโตอย่างเด่นชัดในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา คือ คนห่วงสวยห่วงงามมากขึ้นมีความกังวล กลัวการแพ้จากการใช้สกินแคร์ เครื่องสำอางต่างๆ นอกจากนี้ยังมีโรงพยาบาลหลายแห่งเปิดให้บริการด้านนี้มากขึ้น และรวมถึงเทรนด์ของดาราเกาหลีหน้าใสเข้ามาอย่างต่อเนื่องด้วย” นายแพทย์พีระบอก
ขณะที่สิ่งสำคัญซึ่งคนไข้มองหาจากคลินิกเสริมความงามหรือรักษาผิว คือ “การรักษาแล้วได้ประโยชน์สูงสุด” ในฟากของคลินิกจะเน้นในเรื่องของการเห็นผลรวดเร็วจากเครื่องมือไฮเทค เราจึงเห็นคลินิกแต่ละแห่งลงทุนในเรื่องของเทคโนโลยีสูงมาก
Did you know?
วัยรุ่นและวัยทำงานเป็นกลุ่มคนไข้หลัก ขณะที่กลุ่มคนไข้หน้าใหม่ที่มาแรงคือ วัยพรีทีน 9-10 ปี ขณะที่จากเดิมช่วงอายุจะเริ่มต้นของคนไข้ที่ใช้บริการคลินิกเสริมความงามหรือรักษาผิวจะอยู่ที่ 14-15 ปีขึ้นไป
“ผู้ปกครองจะเป็นคนพาเด็กมา เนื่องจากมลพิษทุกวันนี้เพิ่มมากขึ้นทำให้คนเราเผชิญสภาพปัญหาผิวหน้าได้ง่าย โดยเฉพาะเด็กๆ นอกจากนี้เด็กในวัยนี้จะถูกผลักดันจากคนรอบข้างให้เข้ารับบริการจากคลินิก เนื่องจากพวกเขาเริ่มจะมีสิวแล้ว”
สัดส่วนคนไข้ที่ใช้บริการคลินิกเสริมความงาม รักษาผิว (by sex)
ผู้หญิง 60%
ผู้ชาย 40%