Melinda Gates ผู้หญิงหนึ่งแสนล้าน

จาก Melinda French ซึ่งเติบโตใน Dallas ในครอบครัวคนชั้นกลางที่ขยันขันแข็ง กลายเป็น Melinda Gates เจ้าของบ้านสุดไฮเทคหลังมหึมาริมทะเลสาบ Lake Washington ซึ่งแต่งงานกับผู้ชายที่ร่ำรวยที่สุดในอเมริกา และกำลังบริจาคเงินหลายพันล้านดอลลาร์ เพื่อช่วยเหลือคนในประเทศกำลังพัฒนา ผ่านมูลนิธิ Bill & Melinda Gates Foundation ซึ่งมีทรัพย์สินมากถึง 37,600 ล้านดอลลาร์ และนับเป็นมูลนิธิที่ใหญ่ที่สุดในโลก

ทรัพย์สินดังกล่าวของมูลนิธิ Gates รวมถึงเงินบริจาคจำนวน 3.4 พันล้านดอลลาร์ ที่ได้รับจาก Warren Buffett มหาเศรษฐีนักลงทุนชื่อดัง ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของครอบครัว Gates นอกจากนี้ Buffet ยังกำลังจะบริจาคหุ้น B อันมีค่า ของบริษัท Berkshire Hathaway ของเขา จำนวน 9 ล้านหุ้น ซึ่งปัจจุบันมีมูลค่า 41,000 ล้านดอลลาร์ ให้แก่มูลนิธิ Gates ในปีต่อๆ ไปด้วย

หากหุ้นของ Berkshire ยังคงมีมูลค่าเพิ่มขึ้น และสองสามีภรรยา Gates ยังคงบริจาคเงินเข้ามูลนิธิของตนเองต่อไปเรื่อยๆ ก็เป็นไปได้ว่า ตลอดชีวิตของ Melinda และ Bill Gates พวกเขาคงจะบริจาคเงินเพื่อสาธารณกุศล เป็นเงินสูงถึงกว่า 1 แสนล้านดอลลาร์

ปัจจุบัน มูลนิธิ Bill & Melinda Gates Foundation บริจาคเงินไปแล้ว 14,400 ล้านดอลลาร์ ซึ่งมากกว่าที่มูลนิธิ Rockefeller Foundation เคยบริจาคไปทั้งหมดนับตั้งแต่ก่อตั้งขึ้นในปี 1913

หลังจากแต่งงานกับ Bill Gates เมื่อ 14 ปีก่อน และดูแลมูลนิธิที่ตั้งชื่อตามชื่อของพวกเขา Melinda ต้องสละทั้งความเป็นส่วนตัว ความปลอดภัย ความเรียบง่ายและชีวิตปกติสุข Melinda กลัวการปรากฏตัวต่อสาธารณะ แต่เมื่อไม่นานมานี้ เธอต้องต้อนรับรัฐมนตรีสาธารณสุข 4 คนจากชาติแอฟริกา ซึ่งมาเป็นแขกในงาน Malaria Forum ที่จัดขึ้นที่ Seattle โดยมูลนิธิ Bill & Melinda Gates

Melinda สามารถบรรลุเป้าหมายในวันนั้น คือการกล่าวสุนทรพจน์ต่อหน้านักวิทยาศาสตร์ แพทย์ และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขมากกว่า 300 คน เพื่อประกาศแผนกำจัดโรคมาลาเรีย ที่คร่าชีวิตผู้คนมากกว่า 1 ล้านคนในแต่ละปี และเป็นโรคที่ยังไม่มีใครกำจัดได้มานานหลายศตวรรษ

กระนั้นก็ตาม Melinda ไม่ค่อยจะเป็นที่รู้จักนัก แม้กระทั่งในหมู่ผู้ที่รับบริจาคเงินหลายพันล้านดอลลาร์จากมูลนิธิของเธอกับสามี

แต่ในวันนี้ Melinda Gates ในวัย 43 ปี พร้อมแล้วที่จะเปิดเผยตัวต่อสาธารณะ ความจริงเธอเคยตั้งใจไว้แล้วว่า เมื่อลูกคนเล็กเข้าโรงเรียน เธอจะเปิดเผยตัวมากขึ้น ทั้งๆ ที่เธอชอบที่จะเก็บตัวไปตลอดชีวิตมากกว่า ลูกสาวคนโตยังทำให้เธอคิดหนักถึงนี้ เพราะเธอต้องการให้ลูกก้าวขึ้นเป็นคนสำคัญ ไม่ว่าในเรื่องใดก็ตามที่ลูกของเธอจะเลือกทำในอนาคต Melinda จึงต้องการทำตัวเป็นต้นแบบให้แก่ลูกสาว และตัดสินใจที่จะทำงานในมูลนิธิของเธอมากขึ้นเป็น 30 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ นอกจากนี้ Melinda มองเห็นว่า ผู้หญิงที่เข้มแข็งในประวัติศาสตร์ ต่างก็ลุกขึ้นยืนและเปิดเผยตัวต่อสาธารณะทั้งสิ้น

อีกเหตุผลหนึ่งเป็นเพราะ Bill เองก็จะทำอย่างเดียวกัน โดยเริ่มตั้งแต่เดือนกรกฎาคม Bill ซึ่งแก่กว่าภรรยา 9 ปี จะใช้เวลามากกว่า 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ทำงานการกุศล และจะลดเวลาการทำงานในฐานะประธานบริษัท Microsoft ลงเหลือเพียง 15 ชั่วโมง ก่อนหน้านี้ เขายกตำแหน่ง CEO ให้แก่ Steve Ballmer ซึ่งทำงานกับเขามานาน 28 ปี ไปเรียบร้อยแล้ว

Melinda จบปริญญาตรีด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์และเศรษฐศาสตร์ และปริญญาโท MBA จากมหาวิทยาลัยเดียวกันคือ Duke University เธอเก่งกาจในด้านกีฬามากกว่าสามี Melinda วิ่งอาทิตย์ละครั้ง โดยสามารถวิ่งได้ 7 ไมล์ภายในเวลาเพียง 1 ชั่วโมง เธอพยายามออกกำลังกาย 5 วันต่อสัปดาห์ และยังเคยเข้าร่วมการวิ่งมาราธอนและปีนถึงยอดเขา Mount Rainier ซึ่งมีความสูง 14,410 ฟุตมาแล้ว

Bill ยอมรับว่า Melinda มีความสามารถในการเข้าใจคนอื่นๆ ได้ดีกว่าเขา ยิ่งถ้าเป็นเรื่องการตัดสินใจว่า ควรนำเงินของมูลนิธิไปช่วยเหลือใครและที่ใด Melinda ยิ่งมีอิทธิพลในการตัดสินใจมากกว่า

ตั้งแต่เริ่มแรกแล้วที่ Melinda และ Bill ตกลงว่า จะเลือกช่วยเหลือเพียงบางปัญหาที่สำคัญ ซึ่งเป็นปัญหาที่ทำให้คนเดือดร้อนมากที่สุด และจะเลือกช่วยคนที่เคยถูกละเลยทอดทิ้งไม่ได้รับการช่วยเหลือมาก่อน เพราะพวกเขาต้องการให้ความช่วยเหลือในจุดที่มีความไม่เท่าเทียมกันมากที่สุดก่อน และต้องการช่วยเหลือในจุดที่สามารถก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้มากที่สุด

ด้วยเหตุนี้ มูลนิธิ Bill & Melinda Gates จึงไม่ได้บริจาคเงินให้แก่สมาคมโรคมะเร็งของอเมริกา แต่หันไปบริจาคเงินหลายพันล้านดอลลาร์ เพื่อต่อสู้และกำจัดโรคร้ายต่างๆ ที่คร่าชีวิตผู้คนมากที่สุดในโลก ซึ่งโรคที่สำคัญที่สุดได้แก่ โรค AIDS มาลาเรีย และวัณโรค นอกจากนี้ ทั้งสองยังสนใจช่วยเหลือโรงเรียนมัธยมที่ล้มเหลวในสหรัฐเอง ซึ่งเป็นจุดที่พวกเขาเห็นว่าถูกทอดทิ้งละเลยในอดีต

ในขณะที่ Bill สนใจทางด้านการค้นคว้าวิจัยวัคซีนและวิธีช่วยเหลือในเชิงวิทยาศาสตร์อื่นๆ ซึ่งต้องใช้เวลานับสิบๆ ปีกว่าที่จะเห็นผล แต่ Melinda ต้องการจะช่วยให้คนพ้นจากความเดือดร้อนในทันที เพราะเธอเห็นว่า ยังมีสิ่งอื่นๆ อีกมากที่จำเป็นจะต้องทำ นอกเหนือไปจากการคิดค้นวัคซีนรักษาโรค

ดังนั้น มูลนิธิ Gates จึงเน้นบริจาคเงินสำหรับสิ่งที่เรียกว่า “การแทรกแซง” ได้แก่ มุ้งชนิดพิเศษที่มียาฆ่าแมลง ซึ่งสามารถจะฆ่ายุงที่เป็นพาหะของโรคมาลาเรียได้ ยาฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ (เจลใสไร้กลิ่นสำหรับผู้หญิงใช้ทาช่องคลอด) เพื่อป้องกันการติดโรค AIDS สิ่งเหล่านี้สามารถบรรเทาความเดือดร้อนของคนที่ยังต้องเผชิญกับโรคร้าย ในระหว่างที่กำลังรอความสำเร็จของการคิดค้นวัคซีน

มูลนิธิ Gates ยังสนับสนุนการให้สินเชื่อรายเล็กๆ และการประกันชีวิต เพื่อช่วยให้คนที่ยากจนที่สุดสามารถเริ่มต้นธุรกิจและทำการเกษตร และภารกิจล่าสุดของสองสามีภรรยา Gates ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากที่ Melinda เดินทางไป Kenya เมื่อ 2 ปีก่อนคือ การทำให้เกิดการปฏิวัติเขียวในแอฟริกา เลียนแบบโครงการที่เคยสามารถเพิ่มผลิตผลทางการเกษตรในลาตินอเมริกาและในเอเชียได้สำเร็จมาแล้ว ในช่วงทศวรรษ 1940

เพื่อนๆ ของครอบครัว Gates ต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า Melinda ช่วยให้ Bill กลายเป็นคนที่เปิดกว้างมากขึ้น อดทนมากขึ้น และมีเมตตากรุณา และแม้แต่ตัว Bill ก็ยอมรับว่า Melinda สำคัญต่อเขามาก

ในขณะที่ Bill มีมันสมองเป็นเลิศ แต่ Melinda มีความสามารถในการมองเห็นภาพรวม Judith Rodin ประธานมูลนิธิ Rockefeller ซึ่งเป็นพันธมิตรของมูลนิธิ Bill & Melinda Gates ในโครงการการกุศลมูลค่า 150 ล้านดอลลาร์ในปี 2006 กล่าวว่า Melinda เป็นนักคิดที่สามารถมองเห็นระบบโดยรวมทั้งหมด

ส่วน Bono ดาราเพลงร็อคและนักมนุษยธรรมชื่อดัง ซึ่งเป็นเพื่อนกับสองสามีภรรยา Gates สรุปว่า Bill กับ Melinda เป็นส่วนเติมเต็มซึ่งกันและกัน Bono กล่าวว่า คนจำนวนมากมักจะเหมือน Bill และตัวเขา ที่รู้สึกสลดใจและพลุ่งพล่าน เมื่อได้รับรู้ข่าวที่มีคนต้องสูญเสียชีวิตจำนวนมาก บางครั้งพวกเขาก็ต้องการคนที่สามารถจะช่วยยั้งรั้งให้พวกเขาได้หยุดคิด และ Melinda ก็คือคนๆ นั้น

Warren Buffett นักลงทุนชื่อดัง ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของครอบครัว Gates มาตั้งแต่ปี 1991 บอกว่า Bill จำเป็นต้องมี Melinda และเธอทำให้ Bill ตัดสินใจได้ดีขึ้น แม้ Bill จะฉลาดเป็นกรด แต่ Melinda เป็นคนที่มองภาพรวมได้ดีกว่า

“หากคุณประสบความสำเร็จ นั่นเป็นเพราะในเวลาใดเวลาหนึ่ง ณ ที่ใดที่หนึ่ง มีใครบางคนได้ให้ชีวิตหรือให้ความคิดแก่คุณ ที่ทำให้คุณสามารถเริ่มต้นเดินไปในทิศทางที่ถูกต้อง จงจำไว้ว่า คุณยังคงเป็นหนี้แก่ชีวิต จนกว่าวันหนึ่งคุณจะได้ช่วยคนอื่นที่โชคดีน้อยกว่าคุณ เหมือนเช่นที่คุณเคยได้รับมา” นี่คือสิ่งที่ Melinda เคยพูดไว้ในปี 1982 เมื่อได้เป็นผู้แทนนักเรียนกล่าวสุนทรพจน์อำลาการจบการศึกษาจากโรงเรียนมัธยม Ursuline Acadamy

Melinda มีภูมิหลังที่แตกต่างจาก Bill Gates ผู้มีชื่อเต็มๆ ว่า William H. Gates III ซึ่งมีบิดามารดาคือ Bill และ Mary Gates เป็นผู้นำชุมชนใน Seattle แต่ Melinda French เติบโตขึ้นมาโดยไม่รู้จักอภิสิทธิ์หรือความร่ำรวย Ray French บิดาของ Melinda เป็นวิศวกรธรรมดาคนหนึ่ง ขณะที่มารดาของเธอเป็นแม่บ้านผู้ไม่เคยเรียนมหาวิทยาลัยและนึกเสียใจตลอดมา พ่อแม่ของ Melinda จึงมักจะบอกลูกๆ ทั้งสี่เสมอว่า ไม่ว่าพวกเขาจะต้องการเรียนในมหาวิทยาลัยใด พ่อแม่ก็จะส่งเสียให้ได้ Melinda เป็นลูกสาวคนที่ 2 ของครอบครัว มีพี่สาวอายุแก่กว่า 14 เดือนและน้องชายอีก 2 คน

Melinda รู้จักคอมพิวเตอร์เครื่องแรกตั้งแต่อายุ 14 เป็นเครื่อง Apple II ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์สำหรับผู้บริโภคเครื่องแรกในตลาด Melinda เรียนรู้ BASIC ภาษาที่ใช้เขียนโปรแกรม และสอนให้เด็กคนอื่นๆ เขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ในช่วงปิดเทอมฤดูร้อน
ชีวิตคือแบบทดสอบสำหรับ Melinda และเธอเชื่อว่า เธอจะต้องสอบได้ที่หนึ่ง Susan Bauer ครูสอนเลขและคอมพิวเตอร์ที่ Ursulin Academy โรงเรียนมัธยมที่ Melinda เคยเรียน ซึ่งเป็นโรงเรียนคาธอลิคสตรีล้วนใน Dallas จำได้ว่า ทุกวันเด็กหญิง Melinda จะต้องมีเป้าหมาย 1 อย่าง เช่น วันนี้จะต้องวิ่งให้ได้ 1 ไมล์ เรียนศัพท์ใหม่ 1 คำ นับตั้งแต่เข้าเรียนที่นี่ในปีแรก Melinda ก็ตั้งเป้าหมายว่า เธอจะต้องสอบได้ที่หนึ่งหรือที่สองของโรงเรียน เพราะเป็นทางเดียวที่จะทำให้เธอได้เรียนต่อในมหาวิทยาลัยดีๆ และมหาวิทยาลัยที่เธอหมายตาไว้คือ Notre Dame

คุณครู Bauer ยืนยันว่า Melinda เป็นนักเรียนดีเด่นในแทบทุกด้าน และไม่เคยละทิ้งความมุ่งมั่นและเป้าหมาย แต่ขณะเดียวกัน Melinda ก็เป็นคนที่น่ารักและมีเสน่ห์ และสามารถเอาชนะใจคนอื่นๆ ได้

Melinda ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ และได้ไป Notre Dame อย่างที่ต้องการ แต่สุดท้ายมหาวิทยาลัยที่เธอเลือกกลับเป็น Duke เมื่อ Melinda พบว่า Notre Dam เห็นว่าคอมพิวเตอร์เป็นเพียงแฟชั่น และลดความสำคัญของวิชาคอมพิวเตอร์ลง ในขณะที่ Duke กลับขยายภาควิชาคอมพิวเตอร์

หลังจากจบปริญญาทั้งตรีและโทที่ Duke ภายในเวลา 5 ปี Melinda ตัดสินใจเข้าทำงานที่ Microsoft จากคำแนะนำที่ได้รับจากใน IBM ซึ่งเป็นบริษัทที่เธอไปฝึกงานว่า Microsoft เป็นบริษัทที่มีโอกาสในความก้าวหน้าสูง

Melinda เข้าทำงานที่ Microsoft ในปี 1987 ในตำแหน่งผู้จัดการการตลาดผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์ที่เป็นรุ่นบรรพบุรุษของ Word ในปัจจุบัน เมื่อเธออายุได้ 22 ปี ซึ่งน้อยที่สุดในบรรดาพนักงานใหม่ และเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวใน 10 คนที่จบ MBA เธอพบว่า ที่นี่มีแต่คนแปลกๆ ฉลาด และกำลังทำสิ่งที่เปลี่ยนแปลงโลก แต่ Melindaไม่ชอบวิธีการที่ Bill Gates และ Steve Ballmer ปฏิบัติและดุด่าผู้จัดการ จนถึงกับคิดจะลาออก

แต่ต่อมาเธอพบว่า Bill เป็นคนตลกกว่าที่เธอคิด หลังจากพบกันไม่นาน Bill ก็ขอนัดเธอ แต่ในตอนแรกทั้ง Melinda กับแม่ของเธอไม่คิดว่า การเป็นแฟนกับเจ้าของบริษัทเป็นความคิดที่ดี แม้ว่าในตอนนั้น Bill ได้กลายเป็นเศรษฐีพันล้านแล้ว เมื่อ Microsoft ประสบความสำเร็จในการเข้าตลาดหุ้นในปี 1986 อย่างไรก็ตาม Bill กล่าวว่า เขาและ Melinda รู้สึกถูกใจกันและกันมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ Melinda ยืนยันว่า ความสัมพันธ์ของพวกเขา จะต้องไม่ทำให้เธอมีอภิสิทธิ์ใดๆ ในการทำงาน

กระนั้นก็ตาม ภายในเวลาเพียง 9 ปี Melinda ก็สามารถก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้จัดการใหญ่สายงานผลิตภัณฑ์สารสนเทศ (Expedia, Encarta, Cinemania) และบริหารพนักงาน 300 คน คุณสมบัติเด่นของ Melinda คือเป็นนักสร้างทีมที่เข้มแข็ง Patty Stonesifer อดีตเจ้านายของ Melinda ที่ Microsoft และขณะนี้เป็น CEO ของมูลนิธิ Bill & Melinda กล่าวว่า ถ้า Melinda ยังทำงานอยู่ เธอก็จะต้องขึ้นถึงระดับผู้บริหารของ Microsoft แน่นอน

Melinda ยอมรับว่าเธอกังวลที่จะแต่งงานกับ Bill เพราะตลอดเวลา เธอได้เห็นว่า ความสำเร็จปล้นความเป็นส่วนตัวและชีวิตที่ปกติสุขไปจากเขา ทั้งคู่ยังไม่แน่ใจด้วยว่า การเป็นนักทุนนิยมผู้พิชิตโลกของ Bill จะไปกันได้กับการมีชีวิตครอบครัว Warren Buffett มีบทบาทสำคัญที่ทำให้ทั้งสองได้แต่งงานกันในที่สุด

นับตั้งแต่เริ่มรักกันใหม่ๆ Bill กับ Melinda ก็เริ่มพูดถึงการบริจาคเงินเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น โดยอาจจะเริ่มเมื่อ Bill อายุ 60 ไปแล้ว แต่แล้วการจากไปของ Mary มารดาของ Bill ด้วยโรคมะเร็งเต้านม และจดหมายที่เธอเขียนถึงลูกสะใภ้คือ Melinda ซึ่งมีใจความสำคัญว่า ผู้ที่ได้รับมาก ควรจะให้มาก ทำให้เกิดการก่อตั้งมูลนิธิแรกของครอบครัว Gates ขึ้นคือ มูลนิธิ William H. Gates III Foundation ซึ่งบริหารโดยบิดาของ Bill

เริ่มแรกมูลนิธินี้คิดจะบริจาคเครื่อง laptop ให้แก่โรงเรียน แต่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า เป็นการทำเพื่อตัวเอง เพราะ Microsoft เป็นบริษัทขายคอมพิวเตอร์ Melinda เองก็เห็นว่า ปัญหาด้านการศึกษาในสหรัฐยังมีปัญหาที่ใหญ่กว่าเพียงความไม่เท่าเทียมด้านเทคโนโลยีเท่านั้น Bill และ Melinda จึงตัดสินใจปฏิรูปการศึกษา ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาที่กว้างขึ้น และเน้นที่โรงเรียนมัธยม

หลังจากที่ทั้งสองแต่งงานกัน Melinda อ่านพบข่าวเด็กๆ ในประเทศกำลังพัฒนา กำลังล้มตายเป็นใบไม้ร่วง ด้วยโรคที่คนอเมริกันส่วนใหญ่แทบไม่รู้จัก เช่น rotavirus ซึ่งคร่าชีวิตเด็กมากกว่า 500,000 คนทุกปี และโรคร้ายอย่างมาลาเรียและวัณโรค ซึ่งแทบจะหมดไปจากสหรัฐแล้ว แม้ Melinda จะไปโบสถ์เป็นประจำ แต่เธอไม่รู้สึกผิดใดๆ ที่มูลนิธิของเธอให้เงินบริจาคซื้อถุงยางอนามัย ซึ่งเป็นสิ่งที่ชาวคาธอลิกที่เคร่งครัดไม่เห็นด้วย เพราะ Melinda เห็นว่า ถุงยางอนามัยสามารถป้องกันเอดส์และช่วยชีวิตคนได้
ในแต่ละปี มูลนิธิ Gates จะได้รับจดหมายขอเงินบริจาคประมาณ 6,000 ฉบับ แต่สองสามีภรรยาจะช่วยกันพิจารณาเฉพาะจดหมายที่ขอเงินบริจาคตั้งแต่ 40 ล้านดอลลาร์ขึ้นไป

ในขณะที่ Bill ชอบศึกษาจากการอ่านรายงาน แต่ Melinda ชอบเรียนรู้จากประสบการณ์ เธอจึงชวนสามีเดินทางไป Calcutta ซึ่งมีปัญหาโรคเอดส์ระบาดอย่างหนักในปี 2004 และไปแอฟริกาเมื่อ 2 ปีก่อน โดยมีอดีตประธานาธิบดี Bill Clinton ร่วมทางไปด้วย Clinton เคยกล่าวชื่นชม Melinda ว่าเธอแสดงให้เห็นว่า ในท้ายที่สุดแล้ว ผู้หญิงมักจะเข้มแข็งกว่าผู้ชายเมื่อถึงเวลาที่ต้องเผชิญเรื่องสำคัญ

แม้มูลนิธิของสองสามีภรรยา Gates จะใหญ่ที่สุดในโลก แต่ Melinda เชื่อว่า จำเป็นต้องผูกพันธมิตรร่วมกับมูลนิธิอื่นๆ ไม่เช่นนั้นเงินของมูลนิธิ Gates ก็อาจจะหมดลงในสักวันหนึ่ง ด้วยเหตุนี้ มูลนิธิ Gates จึงจับมือกับองค์การกุศลอื่นๆ หลายแห่ง เช่น Rockefeller, Michael and Susan Dell, Hewlett รวมไปถึงบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง GlaxoSmithKline และ Procter & Gamble ในการทำโครงการต่างๆ มากมาย

แต่พันธมิตรที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคือ GAVI Alliance หรือชื่อเต็มว่า Global Alliance for Vaccines and Immunization ซึ่งสองสามีภรรยา Gates เป็นผู้บริจาคเงินทุนเริ่มต้น 1.5 พันล้านดอลลาร์ ด้วยความร่วมมือที่ได้รับจากรัฐบาลชาติผู้บริจาค 17 ชาติและสหภาพยุโรป GAVI ได้แจกจ่ายวัคซีนกันบาดทะยัก ไวรัสตับอักเสบบี และไข้เหลือง ให้แก่เด็กไปแล้ว 138 ล้านคนใน 70 ประเทศที่จัดว่ายากจนที่สุดในโลก ทำให้อัตราการได้รับวัคซีนในประเทศกำลังพัฒนาพุ่งสูงทำสถิติสูงสุดตลอดกาล และสามารถป้องกันการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรได้มากกว่า 2 ล้านชีวิต
สำหรับการปฏิรูปการศึกษาในสหรัฐ มูลนิธิ Gates กำลังช่วยโรงเรียน 1,800 แห่ง โดยเน้นการมีส่วนร่วมของชุมชนและผู้นำในชุมชน ส่วนในนครนิวยอร์ค มูลนิธิให้ทุนตั้งโรงเรียนมัธยมเล็กๆ 43 แห่ง ซึ่งมีอัตราการเรียนจบสูงถึง 73% เทียบกับเพียง 35% ของโรงเรียนทั่วไป

ต่อไป Bill จะให้เวลามากขึ้นกับนักวิทยาศาสตร์และนักวิชาการ และการคิดค้นเทคโนโลยีด้านการศึกษา รวมทั้งกดดันบริษัทยาที่ยังไม่เคยพัฒนาวัคซีนเพื่อประเทศกำลังพัฒนา ส่วน Melinda ยังคงสนใจในด้านบุคคลและวัฒนธรรมต่อไป
ที่ผ่านมา มูลนิธิ Gates ถูกวิจารณ์ว่า มีเพียงคนที่ใกล้ชิดกับสองสามีภรรยา Gates เท่านั้น ที่สามารถจะทำสิ่งต่างๆ ให้สำเร็จได้ และมูลนิธิยังมีขั้นตอนการทำงานที่ยุ่งยาก แต่ Melinda กล่าวว่า เธอต้องการจะกระจายการตัดสินใจลงไปในระดับล่าง และหลายปีก่อน มูลนิธิได้รับคำชมเรื่องการตัดสินใจอย่างรวดเร็วในการให้เงินบริจาค แต่ตัว Melinda เองเห็นว่า ความเร็วไม่สำคัญเท่าความได้ผล และเธอต้องการการพิจารณาให้เงินบริจาคมีระเบียบและเน้นความได้ผลมากกว่านี้

Melinda ยังเชื่อว่า มูลนิธิของเธอตอบรับการถูกตำหนิได้ดีขึ้น ในกรณีที่มูลนิธีถูกกล่าวหาว่า นำสินทรัพย์ของมูลนิธิ ไปลงทุนในบริษัทที่มีผลประโยชน์ทางธุรกิจขัดแย้งกับจุดประสงค์ของมูลนิธิ เช่น BP และ Exxon Mobil โดยในเดือนพฤษภาคมปีที่แล้ว Melinda และ Bill สั่งให้ผู้จัดการมูลนิธิลดการถือหุ้นในบริษัทที่ลงทุนในซูดาน ซึ่งมีปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรง
ทันทีที่ Melinda แต่งงานกับ Bill เมื่อวันที่ 1 มกราคม 1994 โดยจัดงานแต่งงานเล็กๆ ขึ้นที่เกาะ Lanai ในหมู่เกาะฮาวาย เธอก็ต้องเผชิญกับสิ่งที่เธอเรียกว่า วิกฤตชีวิตส่วนตัวเล็กๆ ตั้งแต่แรกที่เธอได้เห็นบ้านที่ Bill สร้างขึ้นริมทะเลสาบ Lake Washington ซึ่งมีอาณาเขตกว้างใหญ่ถึง 40,000 ตารางฟุต มีโรงรถมากมาย มีสระว่ายน้ำในร่ม โรงหนังส่วนตัวที่มีเครื่องทำข้าวโพดคั่ว และอุปกรณ์ไฮเทคนับไม่ถ้วน จนทำให้เธอนึกว่า กำลังอยู่ในวีดิโอเกม หลังจากเถียงกันอยู่นาน 6 เดือน Melinda ก็ว่าจ้างสถาปนิกคนใหม่ให้ออกแบบบ้านใหม่หมด เพื่อให้บ้านมีความอบอุ่นเป็นส่วนตัวและมีความเป็นบ้านมากขึ้น

เพราะสิ่งที่ Melinda ปรารถนามากที่สุดคือความปกติ เธอต้องการให้ลูกๆ มีชีวิตที่ปกติที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เธอยืนกรานให้ไล่คนงานกลับไปให้หมดในวันสุดสัปดาห์ โดยเหลือเพียงเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยและพี่เลี้ยงเด็กเท่านั้น และในแต่ละสัปดาห์จะต้องมีวันที่สมาชิกทุกคนในครอบครัวจะใช้เวลาอยู่ด้วยกัน

ขณะนี้ลูกๆ ทั้งสามของ Bill และ Melinda โตพอที่จะเข้าใจในสิ่งที่พ่อแม่ทำ ทั้งสองเคยพาลูกๆ ไปแอฟริกาใต้ เพื่อไปดูสลัมและสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เด็กๆ รู้ว่าพ่อแม่ของเขามีเงินมากมาย แต่ก็สงสัยว่า พ่อแม่จะให้เงินพวกเขามากๆ เหมือนกับที่บริจาคเงินหลายพันล้านดอลลาร์ให้แก่คนอื่นๆ หรือไม่ Bill บอกลูกๆ ว่า พวกเขาจะยังคงมีชีวิตความเป็นอยู่สุขสบาย แม้ Bill กับ Melinda จะตั้งใจไว้ว่า จะบริจาคเงิน 95% ของทั้งหมดที่พวกเขามีตลอดชีวิตของพวกเขา แต่ทั้งสองยังไม่ได้ตัดสินใจว่า จะให้สมบัติแก่ลูกๆ เป็นจำนวนเท่าใด Melinda บอกว่า จะทำตามปรัชญาของ Warren Buffett ซึ่งกล่าวว่า คนที่เป็นมหาเศรษฐีควรให้มรดกแก่ลูกๆ มากพอที่จะทำให้พวกเขาทำอะไรก็ได้ แต่ไม่ใช่มากจนไม่ต้องทำอะไรเลย

Melinda หัวเราะกับคำถามที่ว่า อะไรคือข้อบกพร่องที่ร้ายแรงที่สุดของเธอ บางครั้งเธอก็อยากจะมีชีวิตที่ง่ายกว่านี้ โดยเฉพาะในวันที่เธอจำเป็นต้องพูดต่อหน้าคนจำนวนมาก อย่างเช่นวันที่เธอต้องกล่าวสุนทรพจน์ต่อหน้านักวิทยาศาสตร์ทั่วโลก เรียกร้องให้ช่วยกำจัดโรคมาลาเรีย หนึ่งในโรคที่ร้ายแรงที่สุดในโลกเท่าที่เราเคยรู้จัก แต่ในที่สุดเธอก็บรรลุเป้าหมายในวันนั้นอย่างสมบูรณ์ และเป้าหมายต่อไปของเธอในวันพรุ่งนี้ อาจจะยิ่งใหญ่กว่านั้น***

เสาวนีย์ พิสิฐานุสรณ์ แปลและเรียบเรียง
ฟอร์จูน มกราคม 2551