PwC คาดมูลค่าตลาดโดรนเชิงพาณิชย์ในปี 2563 แตะ 4.5 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่ 7.2 หมื่นล้านบาท หลังธุรกิจทั่วโลกหันมาใช้เทคโนโลยีโดรนแทนแรงงานมนุษย์มากขึ้น ระบุโดรนนิยมมากในอุตสาหกรรมโครงสร้างพื้นฐานการเกษตรและคมนาคมขนส่ง
บริษัท PwC Consulting (ประเทศไทย) เปิดเผยถึงรายงาน Clarity from above ที่ทำการศึกษาเทคโนโลยีโดรน (Drone) หรืออากาศยานไร้คนขับ (Unmanned Aerial Vehicles: UAVs) เพื่อนำมาประยุกต์ใช้งานในเชิงพาณิชย์ว่า ปัจจุบันเทคโนโลยีโดรนกำลังเข้ามามีอิทธิพลกับหลายๆ อุตสาหกรรม เนื่องจากสามารถทำงานแทนแรงงานมนุษย์ได้เป็นอย่างดี จึงทำให้โดรนถูกนำมาใช้งานในเชิงพาณิชย์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยคาดการณ์ว่า มูลค่าตลาดทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นไปแตะ 127,000 ล้านดอลลาร์ หรือราว 4.54 ล้านล้านบาท ภายในปี 2563 จากปัจจุบันมูลค่าตลาดอยู่ที่ 2,000 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 7.2 หมื่นล้านบาท
ปัจจุบันโดรนถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายตั้งแต่การจัดส่งพัสดุ การตรวจสอบความเสียหายและประเมินความเสี่ยง พื้นที่ที่อาจเกิดภัยพิบัติในธุรกิจประกันภัยไปจนถึงการใช้โดรนในการรดน้ำหรือหว่านเมล็ดพันธุ์พืชในฟาร์มเกษตรต่างๆ
วิไลพร ทวีลาภพันทอง หุ้นส่วนสายงานที่ปรึกษา กล่าว
ทั้งนี้โดรน เป็นอากาศยานแบบไร้คนขับ แต่ใช้เทคโนโลยีในการควบคุมจากระยะไกล และมีความคล่องตัวในการเคลื่อนที่สูง นอกจากนี้ยังสามารถจัดเก็บภาพและวิเคราะห์ข้อมูลในเชิงลึกได้อย่างแม่นยำ และรวดเร็ว โดยสามารถรายงานผลกลับมายังผู้ใช้ได้แบบทันท่วงที (Real time) อีกทั้งมีความปลอดภัยสูงและต้นทุนต่ำ
ในปี 2558PwC ได้จัดตั้งศูนย์กลางในการให้บริการเฉพาะทางเกี่ยวกับโดรนภายใต้ชื่อ “Drone Powered Solutions” ขึ้น ณ ประเทศโปแลนด์ เพื่อช่วยลูกค้าในการวางแผน และนำโดรนมาประยุกต์ใช้ในเชิงพาณิชย์และวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจ
3 อุตสาหกรรมหลักที่มีมูลค่าตลาดโดรนสูงสุด
ปัจจุบันเทคโนโลยีโดรนได้ถูกพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ จนไม่ได้จำกัดเฉพาะแค่การใช้งานทางทหารเหมือนในอดีต โดยรายงานระบุว่า โดรนถูกนำมาใช้งานเชิงพาณิชย์ครั้งแรกในประเทศญี่ปุ่นเมื่อต้นยุค 1980s โดยเข้ามาทดแทนการทำงานของแรงงานมนุษย์ในการฉีดยาป้องกันแมลงในนาข้าว ซึ่งในเวลานั้นการใช้โดรนยังคงมีต้นทุนสูงและมีความยุ่งยาก จากนั้นเป็นต้นมาพัฒนาการของโดรนจึงเริ่มต้นและถูกขยายขีดความสามารถเพื่อนำมาใช้งานในด้านอื่นๆ ทั้งการสำรวจตรวจสอบวิเคราะห์ประมวลผลแม้กระทั่งงานที่เสี่ยงต่อชีวิตและทรัพย์สิน โดย PwC คาดว่า 3 อุตสาหกรรมหลักที่จะมีมูลค่าตลาดโดรนเชิงพาณิชย์สูงสุดได้แก่
1.อุตสาหกรรมโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure)
ถือเป็นอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะมีมูลค่าตลาดโดรนสูงที่สุดถึง 45,200 ล้านดอลลาร์หรือราว 1.62 ล้านล้านบาทภายในปี 2563 โดยอุตสาหกรรมดังกล่าวนำโดรนมาใช้ในการบินสำรวจพื้นที่และเก็บภาพจากมุมสูงเพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงลึกก่อนนำมาประกอบการตัดสินใจลงทุน (Investment monitoring) ในโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ รวมถึงการซ่อมบำรุง (Maintenance) ในจุดหรือพื้นที่ที่ทำการสำรวจยาก เช่น รอยแตกของรันเวย์ สะพาน ฯลฯ รวมถึงใช้ในการสำรวจรายการสินค้าคงคลัง (Asset inventory) ช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถลดต้นทุน เข้าถึงข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว ปลอดภัย และทำให้การประมวลผลบนพื้นที่บริเวณกว้างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
2.อุตสาหกรรมการเกษตร (Agriculture)
คาดว่าจะมีมูลค่าตลาดโดรนสูงเป็นอันดับที่สองอยู่ที่ 32,400 ล้านดอลลาร์หรือ 1.16 ล้านล้านบาท โดยโดรนถูกนำมาใช้ในการสำรวจพื้นที่การเกษตรในพื้นที่กว้างใหญ่ รวมทั้งวิเคราะห์ดินและการปลูกเมล็ดพันธุ์รวมถึงคาดการณ์เวลาในการเก็บเกี่ยวได้อย่างแม่นยำด้วยความสามารถในการสร้างแผนที่ในรูปแบบสามมิติ (3D mapping) ทำให้ผู้ประกอบการสามารถวิเคราะห์ข้อมูลพืชพันธุ์และวางแผนในการเพาะปลูกได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้โดรนยังช่วยประเมินสุขภาพของพืชพันธุ์รวมทั้งตรวจหาแบคทีเรียหรือการติดเชื้อราได้อีกด้วย
3.อุตสาหกรรมคมนาคมขนส่ง (Transport)
คาดว่าจะมีมูลค่าตลาดโดรนอยู่ที่ 13,000 ล้านดอลลาร์หรือ 465,000 ล้านบาท ปัจจุบันโดรนเริ่มถูกนำมาใช้ในบริการขนส่งสินค้าและพัสดุ (Last-mile delivery) แทนการขนส่งประเภทอื่น เพราะโดรนคล่องตัวสูงกว่าจึงช่วยร่นระยะเวลาในการขนส่งให้สั้นลง และสามารถเข้าถึงพื้นที่ที่เข้าถึงได้ยาก และมีค่าใช้จ่ายต่ำโดรนยังถูกใช้ในการขนส่งชิ้นส่วนสำรองรวมไปถึงยาและอาหาร
นอกจากนี้ โดรนยังถูกนำไปใช้อย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรมอื่นๆ เช่น อุตสาหกรรมสื่อและบันเทิงนำโดรนมาใช้บันทึกภาพมุมสูงแทนการใช้เครื่องบินหรือเฮลิคอปเตอร์ อุตสาหกรรมประกันภัยนำโดรนมาใช้ในการตรวจสอบ การประเมินและจัดการความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากภัยพิบัติ และความปลอดภัยของทรัพย์สินไปจนถึงอุตสาหกรรมเหมืองแร่ ที่ใช้โดรนในการสำรวจพื้นที่เหมืองแทนแรงงานมนุษย์โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง
ความท้าทายที่รออยู่ของโดรน
อย่างไรก็ดี แม้ว่าทั่วโลกจะมีการนำเอาเทคโนโลยีโดรนมาใช้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ความท้าทายสำคัญในระยะข้างหน้า คือการออกกฎหมายเกี่ยวกับการใช้โดรนที่โปร่งใสและเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกำกับดูแลของหน่วยงานรัฐเกี่ยวกับการใช้รวมถึงพื้นที่ที่มีการอนุญาตให้ใช้โดรนและมีข้อควรปฏิบัติเพื่อเป็นการรับประกันความปลอดภัยและความมีประสิทธิภาพจากการใช้โดรนให้เกิดประโยชน์เชิงพาณิชย์สูงสุด
ปัจจุบันเราเริ่มเห็นสัญญาณของบริษัทผู้ประกอบการหลายรายที่ต้องการจะทดสอบและนำโดรนไปใช้กับธุรกิจของตน แต่ยังมีความกังวลในเรื่องของตัวบทกฎหมาย ฉะนั้น กฎระเบียบข้อบังคับจะเป็นหนึ่งในกุญแจสำคัญในการควบคุมดูแลโดรนที่จะถูกนำมาใช้งานในเชิงพาณิชย์ และผลักดันให้เกิดการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ในอนาคตได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
วิไลพร กล่าว
ทั้งนี้ จากผลการศึกษาของ PwC ระบุว่าโปแลนด์ถือเป็นประเทศแรกของโลกที่มีการร่างกฎหมายเกี่ยวกับการใช้โดรนเชิงพาณิชย์อย่างเป็นรูปธรรมตั้งแต่เมื่อปี 2556 โดยนักบินโดรนในโปแลนด์ต้องผ่านการฝึกอบรมทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติจากสำนักงานการบินพลเรือน ผ่านการตรวจร่างกายที่ถูกต้อง และทำประกันภัยสำหรับความเสียหายอันเกิดแก่ร่างกาย ชีวิต ตลอดจนทรัพย์สินของบุคคลที่สาม นอกจากนี้ต้องมีใบอนุญาตและเข้าใจข้อบังคับการบินต่างๆเพื่อเป็นการรับประกันว่าการใช้โดรนเพื่อธุรกิจจะเป็นไปอย่างถูกต้อง รัดกุม และปลอดภัยแก่ทุกฝ่าย
สำหรับประเทศไทยก็เช่นเดียวกัน โดรนไม่เพียงถูกนำมาใช้เฉพาะหน่วยงานภาครัฐเพื่อการทหารและการป้องกันประเทศเท่านั้น แต่ถูกนำมาใช้งานเชิงพาณิชย์มากขึ้น โดยล่าสุดเมื่อเดือนกรกฎาคมปีที่ผ่านมา กระทรวงคมนาคมจึงได้ออกประกาศหลักเกณฑ์การขออนุญาตและเงื่อนไขในการบังคับหรือปล่อยอากาศยานซึ่งไม่มีนักบินประเภทอากาศยานที่ควบคุมการบินจากภายนอก พ.ศ.2558
การที่หน่วยงานภาครัฐออกกฎควบคุมการใช้งานโดรนถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ที่จะช่วยจัดระเบียบรูปแบบการใช้งานที่เหมาะสมของโดรนแต่ละประเภท รวมทั้งคุณสมบัติของนักบินและข้อบังคับการบิน ซึ่งน่าจะช่วยลดการเกิดอุบัติเหตุและทำให้ตลาดโดรนในเมืองไทยขยายตัวได้อย่างรวดเร็วในอนาคต ขณะเดียวกันก็ช่วยให้ผู้ประกอบการในภาคธุรกิจได้ทราบถึงแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนว่าควรนำโดรนมาช่วยพัฒนาหรือปรับปรุงสินค้าและบริการให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดได้อย่างไร รวมถึงสร้างความเชื่อมั่นให้กับบริษัทและนักลงทุนในการนำโดรนมาใช้ต่อยอดและพัฒนาธุรกิจเพิ่มมากขึ้น
[1] ณ วันที่ 26 ธันวาคม 2559 อัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์สหรัฐเท่ากับ 35.82 บาท