ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เมื่อวันนี้ บริษัทเทคโนโลยีของอีลอน มัสก์ (Elon Musk) ซีอีโอเทสล่า (Tesla) มีมูลค่าสูงแซงหน้าบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่ของสหรัฐอเมริกาอย่าง เจเนอรัล มอเตอร์ส (General Motors Co.) ไปแล้ว
โดยมูลค่าของบริษัทเทสล่ามีการขยับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา จนเมื่อเวลา 9.35 น. ของวันจันทร์ที่ มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดของบริษัทสูงแซงหน้า GM ไปในที่สุด ซึ่งปัจจุบันมูลค่าตลาดของเทสล่าอยู่ที่ประมาณ 51,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เหนือกว่า GM ประมาณ 1.7 พันล้านเหรียญสหรัฐเลยทีเดียว
จุดนี้แสดงให้เห็นว่า นักลงทุน “ซื้อ” ในวิสัยทัศน์ของอีลอน มัสก์เกี่ยวกับการนำรถยนต์ไฟฟ้าเข้ามาใช้งานบนท้องถนน ซึ่งทาง GM ได้แก้เกมด้วยการพยายามพัฒนารถยนต์ Chevrolet Bolt ในราคาและขนาดที่ใกล้เคียงกับ Model 3 Sedan ของเทสล่าออกมาแต่ก็ไม่สามารถสร้างกระแสในตลาดสหรัฐอเมริกาได้
อเล็กซานเดอร์ พ็อตเตอร์ นักวิเคราะห์จาก Piper jaffray Cos. เผยว่า เทสล่าได้ทำในสิ่งที่บริษัทอื่นไม่สามารถเลียนแบบได้ และยิ่งคู่แข่งของเทสล่าพยายามเท่าไร ก็ยิ่งพบกับความผิดหวังมากขึ้นเท่านั้น
การที่เทสล่ามีมูลค่าสูงกว่า GM นั้นอาจทำให้บริษัทขึ้นมาอยู่ในอันดับ 6 ของผู้ผลิตรถยนต์โลก ตามหลังโตโยต้า มอเตอร์, Daimler AG, Volkswagen AG, BMW AG และฮอนด้า มอเตอร์
โดยนักวิเคราะห์จาก Morningstar อย่าง David Whiston เผยว่า ในภาพรวมแล้วนักการตลาดให้ค่ากับศักยภาพในการรุกตลาดใหม่ของเทสล่ามากกว่ากระแสเงินสด หรือผลกำไรที่เกิดขึ้นจริงในแต่ละปีไปแล้ว ซึ่งในตอนนี้ คาดว่าไม่มีอะไรจะมาหยุดยั้งเทสล่าได้อีก และเทสล่าก็น่าจะก้าวแซงฮอนด้าในอีกไม่ช้านี้
อย่างไรก็ดี การประเมินมูลค่าของเทสล่าและการจัดอันดับดังกล่าวก็มีผู้คัดค้านเช่นกัน โดย Maryann Keller ที่ปรึกษาด้านอุตสาหกรรมรถยนต์เผยว่า เมื่อมาพิจารณาจากยอดขายรถไฟฟ้าของเทสล่าที่มีไม่ถึง 80,000 คันต่อปีแล้ว GM ที่สามารถขายรถยนต์ได้มากกว่า 10 ล้านคัน ถือว่ามีตัวเลขที่สูงกว่ามาก ดังนั้นการประเมินดังกล่าวจึงไม่น่าจะยุติธรรมสำหรับ GM นั่นเอง
อย่างไรก็ดี เทสล่าก็มีรถ Model 3 ที่คาดว่าจะจับกลุ่มแมส ด้วยราคาขายประมาณ 35,000 เหรียญสหรัฐ และวิ่งได้ไกล 350 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง โดยรถรุ่นดังกล่าวมีกำหนดเปิดตัวในปีนี้ด้วย ซึ่งก็ต้องมารอดูว่ารถยนต์ดังกล่าวเพิ่มรายได้ให้เทสล่าได้หรือไม่
ที่มา : http://manager.co.th/Cyberbiz/ViewNews.aspx?NewsID=9600000036780