“ทองคำ” หลุมหลบภัยวิกฤตเศรษฐกิจ

การลงทุนประเภทอื่น ได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจของโลก ทำให้ราคาที่เคยสูงกับถูกลงอย่างรวดเร็ว และผันผวนหนัก แต่ “ทองคำ” กลายเป็นแหล่งลงทุนที่ปลอดภัยที่สุด เพราะไม่ว่าตลาดการเงินจะดิ่ง ค่าเงินใดจะอ่อนจะแข็ง หรือตลาดหุ้นวูบ “ทองคำ” ก็ยังเปล่งประกาย ยิ่งถือระยะยาวด้วยแล้วมีแต่รวยกับรวย

เมื่อหุ้นผันผวน เสี่ยงลงทุนแล้วขาดทุน “กวี ชูกิจเกษม” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ ธนาคารกสิกรไทย แนะว่ามีอีก 3 ทางเลือกสำหรับนักลงทุน คือ 1.ทองคำ 2.กองทุนสินค้าเกษตร และ 3.กองทุนในสินทรัพย์ที่จับต้องได้ เช่น กองทุนอสังหาริมทรัพย์ โดยการลงทุนทองคำช่วงนี้ให้ผลตอบแทนสูงสุด

“การลงทุนในทองคำ ในปีนี้ให้ผลตอบแทนแล้วเฉลี่ยประมาณ 12% และโอกาสราคาทองคำขึ้นมีมากกว่าลง เพราะทองคำเป็น Asset ที่มีความปลอดภัยสูง ไม่ว่าปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาการเมืองโลก ความตึงเครียดของโลก และสงคราม ราคาทองคำก็มีแต่ขึ้น ทองคำจึงเป็นสถานที่ปลอดภัย (Safe Haven) สำหรับนักลงทุน”

สำหรับกองทุนสินค้าเกษตรมีแนวโน้มที่ดี เฉลี่ยให้ผลตอบแทนประมาณ 10% เหตุผลคือคนจะเลิกใช้เลิกอะไรก็ได้ แต่คนไม่สามารถเลิกกินข้าวบริโภคอาหารได้ และสุดท้าย กองทุนที่จับต้องได้ อย่างกองทุนอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งให้ผลตอบแทนแล้วประมาณ 10%

สำหรับคนไทยในช่วงตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา “ทองคำ” เป็นผลิตภัณฑ์สำหรับการลงทุนที่คึกคักมากเป็นที่สุด ซึ่ง นพ.กฤชรัตน์ หิรัญยศิริ กรรมการผู้จัดการ ห้างทองแม่ทองสุก ในฐานะรองเลขาธิการสมาคมค้าทองคำ บอกชัดเจนว่า “วิกฤตทางการเงิน เป็นผลดีต่อทองคำ ซึ่งไม่เพียงเป็นหลุมหลบภัยทางเศรษฐกิจที่ดีที่สุดเท่านั้นแต่ยังเป็นสวรรค์สำหรับนักลงทุนอีกด้วย”

สิ่งที่เกิดขึ้น คือเม็ดเงินที่เคยอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ตลาดอัตราแลกเปลี่ยน การเก็งกำไรค่าเงิน ซึ่งมีความไม่แน่นอน ผลตอบแทนน้อย เสี่ยงมาก จึงเข้ามาอยู่ในตลาดทองคำ คนมาเก็งกำไรราคาทองคำมากขึ้น รวมทั้งพวกกองทุนเก็งกำไร (Hedge Fund) ที่ยังมีเงินอยู่ก็ต้องหากำไรจากการลงทุน

นพ.กฤชรัตน์ คลิกสถิติราคาทองคำ หน้าจอคอมพิวเตอร์บนโต๊ะทำงานที่ออนไลน์ตลอดเวลา ว่าตลาดทองคำใน 2-3 ปีที่ผ่านมามีการซื้อขายมากขึ้น ราคาจึงเพิ่มขึ้นถึง 50 เหรียญต่อออนซ์ จากปลายปี 2007 ที่ราคาอยู่ที่ 860 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ โดยในปี 2008 ราคาทองคำพุ่งสูง 2 รอบ คือครั้งแรกช่วงเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม ราคามาแตะที่ 1,032 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ สูงสุดในรอบ 30 ปี จากนั้นราคาลดลง จนเมื่อเดือนกรกฎาคม พุ่งกลับมาที่ 980 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ และในไตรมาสราคาจะขึ้นไปอยู่ที่ 1,000 เหรียญต่อออนซ์

นี่คือแหล่งลงทุนในยามที่เกิดวิกฤตการเงิน ผลที่เห็นคือในรอบปีที่ผ่านมา ผู้ลงทุนทองคำได้รับผลตอบแทนอย่างน้อย 10% และนักลงทุนระยะสั้นที่ดูทิศทางตลาดอย่างรอบคอบอาจได้ผลตอบแทนแล้ว 20%

นอกจากนี้ หากนโยบายดอกเบี้ยต่ำ ก็จะส่งผลให้ราคาทองคำสูงขึ้นอีก เพราะโดยพื้นฐานแล้วเมื่อดอกเบี้ยลด ทำให้ค่าเงินบาทนั้นอ่อนลง

ภาพที่เห็นตามร้านทองชื่อดัง ทั้งย่านเยาวราช เจริญกรุง ตลอดช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา คือมีคนออมทุกวัยแต่เข้าคิวซื้อทองคำเป็นร้อยคน โดยเฉพาะทองคำแท่ง หลายร้านถึงขั้นต้องแจกบัตรคิวให้ลูกค้ากันเลยทีเดียว ขณะที่ก่อนหน้านี้ร้านทองค่อนข้างเงียบเหงา

ไม่เพียงการซื้อขายหน้าร้านเท่านั้น กรณีของห้างทองแม่ทองสุก ซึ่งเปิดให้บริการซื้อขายทองคำแท่งผ่านอินเทอร์เน็ตด้วยนั้น ก็มีออเดอร์ผ่านออนไลน์เพิ่มขึ้นหลายเท่าโดยเฉพาะช่วงครึ่งหลังของเดือนกันยายนที่ตลาดทองคำโลกผันผวน จนทำให้บริการลูกค้าไม่ทันซึ่ง นพ.กฤชรัตน์บอกว่า ลูกค้าจำนวนมากต้องรอถึงครึ่งวัน หรือรอถึง 3 ทุ่มก็ยังมี จนต้องงดการเปิดบัญชีใหม่ถึง 10 วัน เพื่อปรับปรุงระบบ และเพิ่มพนักงานบริการให้มากขึ้น

“นี่คือช่วงที่สามารถเรียกได้ว่าเป็นยุคตื่นทอง”

อย่างไรก็ตาม การลงทุนทุกอย่างมีความเสี่ยง แม้ผู้ค้าทองคำอยากได้กำไรในยุคนี้ สำหรับ นพ.กฤชรัตน์ ให้คำแนะนำการลงทุนทองคำว่า
1. ผู้มาลงทุนควรใช้เงินออมมาลงทุน ไม่ควรกู้เงินมาซื้อทองคำ
2. ผู้ลงทุนต้องศึกษาให้ดีว่า ทองคำราคาขึ้นลงเพราะอะไร ให้มีความมั่นใจก่อนแล้วค่อยลงทุน ไม่ต้องรีบร้อน เพราะการลงทุนมีโอกาสทุกเวลา ไม่ได้หมายความว่าซื้อไม่ทัน แล้วหมดโอกาส หรือราคาขึ้นแล้วลงไม่ได้ หรือราคาลงแล้วจะน่าซื้อเสมอไป

ราคาทองคำแท่ง (บาทละ) ณ วันที่ 7 ต.ค. 2008 ราคาเพิ่มขึ้นจากวันที่ 6 ม.ค. 2003 97.87%
——————————————————————–
วันที่ รับซื้อ ขายออก
——————————————————————-
6 ม.ค. 2003 7,050 7,150
5 ม.ค. 2004 7,700 7,800
3 ม.ค. 2005 8,050 8,150
3 ม.ค. 2006 10,000 10,100
3 ม.ค. 2007 10,850 10,950
3 ม.ค. 2008 13,450 13,550
15 ก.ค. 2008 15,350 15,400
7 ต.ค.2008 13,950 14,050
——————————————————–
ที่มา : สมาคมค้าทองคำ