สำหรับคอลเลกชั่นพิเศษ Louis Vuitton x Supreme Fall/Winter 2017 ที่เกิดจากการ Co-Branding ระหว่าง 2 แบรนด์ดัง หลุยส์ วิตตองฝรั่งเศส และสุพรีม สหรัฐอเมริกา ได้วางขายอย่างเป็นทางการในประเทศไทย ในวันที่ 14 กรกฎาคมนี้เป็นวันแรก ทำเอาสาวกต้องไปเข้าแถวจองล่วงหน้ากันข้ามคืน
หลังจากสร้างกระแสฮือฮาไปทั่ววงการแฟชั่นไปตั้งแต่ต้นปี เมื่อแบรนด์หรูอันทรงอิทธิพลแห่งวงการแฟชั่นอย่างหลุยส์ วิตตอง (Louis Vuitton) จากปารีส ฝรั่งเศส มาจับมือสุพรีม (Supreme) แบรนด์สตรีทแวร์จากนิวยอร์กสหรัฐอเมริกา ได้ร่วมกันออกคอเลกชั่นพิเศษ Louis Vuitton x Supreme Fall/Winter 2017 หรือเรียกว่า Friends and Heroes โดยได้รับแรงบันดาลใจจากวัฒนธรรมของชาวนิวยอร์กในยุค 70’s– 90’s และเปิดตัวคอลเลกชั่นฤดูใบไม้ร่วง–ฤดูหนาวประจำปี 2017 ล่าสุดคอลเลกชั่นนี้ก็ได้เข้ามาขายในไทยอย่างเป็นทางการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เมื่อดีเดย์มาเปิดวางขายถึงไทย เหล่าแฟชั่นนิสต้าและบรรดาสาวกของทั้ง 2 แบรนด์ในไทยก็ไม่รอช้า พุ่งเข้าไปจับจองเป็นเจ้าของจนคิวยาวเหยียด บางคนถึงขนาดไปนั่งรอตั้งแต่คืนวันที่ 13 กรกฎาคม
จากรายงานของผู้ที่ไปร่วมต่อคิวในครั้งเผยว่า ทางร้านจะให้เข้าไปซื้อสินค้าได้เพียงครั้งละ 12 คน มีเวลาคนละ 20 นาที และซื้อสินค้าได้ไม่เกิน 3 ชิ้น โดยแต่ละชิ้นห้ามซื้อซ้ำแบบกัน อย่างเช่น รองเท้า เป็นต้น
โดยสินค้าในคอลเลกชั่น Louis Vuitton x Supreme Fall/Winter 2017 นั้นจะมีจำหน่ายทั้งรองเท้า ผ้าพันคอ เสื้อแจ็กเก็ต กระเป๋าทรงทรังก์ ยีนส์เดนิมเท่ๆ รวมถึงเคสโทรศัพท์ โดยมีราคาตั้งแต่หลักหมื่นไปจนถึงหลักแสนบาท เช่น กระเป๋าเป้ ตกใบละ 120,000 บาท เคส iPhone 7 ราคา 43,000 บาท ผ้าพันคอ 12,500 บาท เดนิม แจ็กเก็ต 62,000 บาท รองเท้า 33,000 บาท หมวก 24,000 บาท
คิมโจนส์ (Kim Jones) ผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์ของหลุยส์ วิตตองที่รับหน้าที่ดูแลเครื่องแต่งกายผู้ชาย เผยว่า กลุ่มลูกค้าในปัจจุบันมีอายุน้อยลง จึงต้องสร้างความตื่นเต้น และสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ซึ่งตัวเขาเองก็รู้สึกสนุกไปด้วยจึงเกิดเป็นความมือกันในครั้งนี้
โดยคอลเลกชั่น Louis Vuitton x Supreme Fall/Winter 2017 ที่เกิดจากการ Co-Branding ระหว่าง 2 แบรนด์ดังครั้งนี้ ถือเป็นการผสมผสานความหรูหราและความเป็นสตรีทแวร์แฟชั่นกวนๆ แนวฮิปแบบเด็กสเก็ตบอร์ดเข้าไว้ด้วยกัน เหมาะสำหรับผู้ทีชื่นชอบความเป็นไฮเอนด์แต่ยังคงความเป็นวัยรุ่นลุคคูลๆ เท่ๆ ไว้ได้ ทำให้หลุยส์ วิตตองเองได้ลดอายุแบรนด์ตัวเองลง เพื่อให้เข้ากับคนรุ่นใหม่ ที่จำเป็นต้องมองหาความหรูหราในแบบฉบับใหม่ ในขณะที่สุพรีมก็ได้ขยายฐานกลุ่มลูกค้าของตัวเองให้พรีเมียมยิ่งขึ้น ถือเป็นอีกหนึ่งในกรณีศึกษาของการ Co-Branding ของแบรนด์ดังที่ต้องปรับตัวให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมายใหม่