“ไอโฟน” จะแรงพอฟื้น “ทรูมูฟ” ได้หรือ

“ไอโฟน” รุ่นที่ใช้สำหรับ 3G จุดกระแสให้วงการธุรกิจมือถือในไทยคึกคักหันมาชิงเหลี่ยมกันอีกครั้ง โดยเดิมพันแรก “ทรูมูฟ” ประกาศชัยชนะแล้วว่าได้เซ็นสัญญาขายไอโฟน 3G เป็นที่เรียบร้อย ทำให้ “แบรนด์” สดใสมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันตาเห็น ทิ้งให้แบรนด์คู่แข่งเบอร์ 1 และ 2 อย่างเอไอเอส และดีแทคต้องคิดหนักว่าจะลงทุนต่อกับ “ไอโฟน” หรือไม่ ขณะที่ “ทรูมูฟ” เลือกลุยไปก่อน เพราะความเชื่อของผู้บริหารบนฐานโมเดลธุรกิจคอนเวอร์เจนซ์ ที่ไอโฟนจะมาเติมเต็ม

ดีลนี้ไม่ธรรมดา เพราะทั้งเดิมพันสูง และเสี่ยงกับความไม่แน่นอนของตลาด ซึ่ง “ไอโฟน” อาจเพียงแค่ทดสอบว่าจะขายได้หรือไม่กับคนไทย แต่สำหรับทรูมูฟ คือการชี้ชะตาอีกครั้งว่าเงินทุนจำนวนมากครั้งนี้กับ “ไอโฟนโปรเจกต์” จะทำให้อนาคตที่สดใสของทรูมูฟมาถึงโดยเร็วหรือไม่

กลางปี 2008 ที่ผ่านมา ระดับบิ๊กของทั้งทรูฯ ดีแทค และเอไอเอส ต่างรอคำตอบจาก “แอปเปิล” เพื่อเตรียมตัวบินไปอเมริกาเจรจากับผู้บริหาร “แอปเปิล” หลังจากส่งจดหมายขอเจรจาเป็นผู้รับสิทธิจำหน่าย “ไอโฟน 3 G” ในประเทศไทย

ถัดมาอีก 3 เดือน เมื่อ “แอปเปิล” เปิดรอบใหม่ในการหาตัวแทนจำหน่ายไอโฟนในเอเชีย ก็รื้อจดหมายจากบริษัทคนไทย หลังจากเช็กแล้วว่าแบรนด์ทรูมูฟ ดีแทค และเอไอเอส “มีตัวตน” ในเมืองไทย โทรศัพท์สายตรงจากแอปเปิลถึงผู้บริหารระดับสูงแต่ละบริษัทก็ดังขึ้น…

“ปพนธ์ รัตนชัยกานนท์” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ค่ายทรูฯ “แอเลน ลิว ยง เคียง” ประธานกรรมการบริหารเอไอเอส และ “ธนา เธียรอัจฉริยะ” รองซีอีโอค่ายดีแทค ตีตั๋วบินตรงไปยังซานฟรานซิสโก ทั้งสามไม่เจอกัน เพราะเข้าเจรจากันคนละเที่ยว คนละรอบ แต่ก็รู้กันว่าทุกคนได้เจรจาเหมือนกัน

เงื่อนไขสุดหิน

อย่างน้อย 3 รอบในการต่อรองเรื่องส่วนแบ่งรายได้ ที่ไม่ใช่เรื่องง่ายที่โอเปอเรเตอร์ไทยทั้ง 3 รายจะตกลงกับแอปเปิลได้ทันทีทันใด เพราะนอกเหนือจากต้องโชว์แผนการตลาด และสถานะการเงินให้ชัดเจน ยังมีเงื่อนไขสุดหิน คือ

1. ต้องมีแบงก์การันตีวางไว้ให้ “แอปเปิล” 2,500 ล้านบาท
2. ต้องมียอดขายไม่ต่ำกว่า 1 แสนเครื่องต่อปี
3. ราคาจำหน่ายต้องได้กำไรไม่เกินเครื่องละ 5%
4. ต้องมีโปรโมชั่นแจกเครื่องฟรี และให้ลูกค้าทำสัญญาใช้บริการระยะหนึ่ง
5. สำคัญที่สุดคือนโยบายที่เปลี่ยนใหม่ของแอปเปิลคือไม่ได้ให้สิทธิ Exclusive รายเดียวขาย “ไอโฟน”

นี่คือข้อเสนอที่ต้องเจอทุกราย และเป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก ส่วนรายละเอียดอาจต่างกันบ้างเล็กน้อย

“ทรูมูฟ” First Mover ดันแบรนด์

ขณะที่ดีแทคกำลังคิดหนักว่า “คุ้มหรือไม่” กับดีลนี้ และ “เอไอเอส” เกรงว่าคลื่นที่มีอยู่คือย่าน 900 ใช้ไม่ได้กับไอโฟนที่ทำมาสำหรับคลื่น 850 MHz ในเครือข่าย 3 G

จู่ ๆ แม้จะยังไม่ถึงเดทไลน์ให้คำตอบ “แอปเปิล” ว่าตกลงหรือไม่แต่ “ทรูมูฟ” ก็ชิงประกาศก่อนใครเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2008 ว่า “สิทธินี้เป็นของทรูมูฟ” เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

นี่คือการต่อสู้ยกแรกสำหรับ 3 ค่ายยักษ์โทรศัพท์มือถือของไทยที่ “ทรูมูฟ” ขอประกาศชัยชนะก่อนใคร แม้คู่แข่งจะยังไม่น็อก แค่เมาหมัด แต่ก็ต้องพักยก เพราะข่าวประชาสัมพันธ์ที่สั้นบรรทัดเดียวของทรูมูฟได้ “ความเท่ส่งแบรนด์ทรูมูฟ”ให้วิ่งนำหน้าคู่แข่ง ขณะที่คู่แข่งทั้งดีแทค และเอไอเอส ต้องกลับเข้ามุมมาให้น้ำ เช็ดเหงื่อกันใหม่ ในช่วงที่แต่ละค่ายกำลังลงทุนเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ 3G เพื่อเปิดให้บริการภายในกลางปี 2009

กลยุทธ์ “พีอาร์” มาตรฐาน “แอปเปิล”

กลยุทธ์ “ประกาศคนแรก” คือความได้เปรียบในแง่การตลาด และทำให้เแบรนด์ของ “ทรูมูฟ” มีชีวิตชีวามากขึ้นทันตาเห็น ลืมตัวเลขขาดทุนมหาศาลไปได้ชั่วขณะ เพราะสื่อต่างๆ พยายามลงข่าว และตามข่าวเป็นระยะ ขณะเดียวกันเว็บไซต์ทรูมูฟที่นานๆ จะมีใครคลิกเข้าไปดู ก็เริ่มถูกสำรวจว่าจะมีข่าวสารเรื่อง “ไอโฟน” เพิ่มเติมหรือไม่

ในเวลาไม่ถึงสัปดาห์ ทรูมูฟก็สร้างหน้าโฮมเพจหน้าแรกมีรูปไอโฟนใหญ่โตอลังการ พร้อมข้อความ “The iPhone you’ve been waiting for coming soon.”

ก่อนคลิกเข้าหน้าหลักของเว็บไซต์ทรูมูฟ ยังไม่ลืมสร้างฐานลูกค้าด้วยการให้เลือกคลิกลงทะเบียนรับข่าวสารข้อมูลจากไอโฟน
นี่คือกระบวนการประกาศข่าวสาร ที่ “ศุภชัย เจียรวนนท์” ซีอีโอของทรูมูฟ บอกว่าทั้งหมดเป็นไปตามข้อตกลงและขั้นตอนของ “แอปเปิล” จะบอกหรือเปิดเผยมากกว่าไม่ได้

แน่นอนแม้ทรูมูฟจะอยากแถลงมากกว่านี้ แต่มาตรฐานการแถลงข่าวของแอปเปิลคือการค่อยๆ เปิดเผยข้อมูลเท่าที่จำเป็น ปล่อยให้ความอยากรู้ และการรอคอยของกลุ่มเป้าหมาย เป็นตัวขับเคลื่อนยอดขายในอนาคตโดยตัวของมันเอง

ดีแทค-เอไอเอส พลิกแผนตามสกัด

ขณะที่ฟากของทั้งดีแทคและเอไอเอสต้องกลับมาคิดใหม่

“ใครมาทีหลัง ประกาศช้ากว่า ทำช้ากว่า อาจไม่แพ้ แต่ก็แค่เสมอ” แต่ในสถานการณ์นี้คุ้มหรือไม่ที่จะลงทุนเท่ากัน “แต่ได้แค่เสมอ”
ที่สำคัญไปกว่านั้น ทั้งสองรายเบอร์ 1 และ 2 จะยอมให้เบอร์ 3 ได้แบรนด์ และขาย “ไอโฟน” คนเดียวหรือไม่ทั้งที่แอปเปิลยังเปิดกว้างให้คนอื่น

คำตอบคือ ไม่มีใครยอม เพียงแต่ว่าใครจะตามมาระหว่างดีแทค และเอไอเอส เท่านั้น

การประกาศของ “ทรูมูฟ” อาจเป็นเพียงแค่ยกแรก ใน Game Theory นี้ที่รอแต่เพียงว่า “ดีแทค” จะยอมเสียความทันสมัย ความมีชีวิตชีวาของแบรนด์เพื่อรักษาทุน แล้วตัดใจจากไอโฟน รอให้พี่ใหญ่ “เอไอเอส” บี้กับ “ทรูมูฟ” ที่หงายไพ่มาก่อนนี้แบบตัวต่อตัว

เพราะในแวดวงธุรกิจโทรศัพท์มือถือยังมีคำถามอีกมากมายว่าตลาด “ไอโฟน” จะมีมากถึงปีละ 1 แสนเครื่องตามที่แอปเปิลกำหนดให้แต่ละบริษัททำยอดขายหรือไม่ หากมีผู้เล่นอีกหนึ่งจะกลายเป็น 2 แสนเครื่อง หรือทั้ง 3 ลงมาเล่นจะกลายเป็น 3 แสนเครื่อง ซึ่งขณะนี้ทั้งเอไอเอสและดีแทคไม่เชื่อว่าดีมานด์จะมากขนาดนั้น

เพราะปัจจุบัน “ไอโฟน” ที่หิ้วมากันเอง และที่ซื้อตามร้านตู้มีรวมๆ แล้วประมาณ 8 หมื่นเครื่องเท่านั้น ในช่วงเวลาประมาณ 1 ปีที่ผ่านมา ขณะเดียวกันโทรศัพท์มือถือแบรนด์ “ก๊อบปี้” แบรนด์ระดับโลกอย่างโนเกีย และค่ายเกาหลีอย่างซัมซุง ต่างเริ่มเพิ่มทางเลือกให้กับกลุ่มลูกค้าตัวเอง ด้วยรุ่นและฟังก์ชันที่คล้ายกับไอโฟน ในราคาที่ถูกกว่าเมื่อเทียบกับไอโฟนที่เฉลี่ยประมาณ 25,000 บาท แม้ความ “เท่” อาจเทียบเท่าได้ยากกับ “ไอโฟน” แต่ก็ดึงกลุ่มเป้าหมายไปได้บางส่วน

ปัจจัยสำคัญคือจุดแข็งของ “แบรนด์” แอปเปิล สำหรับในแวดวงนักการตลาดแล้ว “แอปเปิล” ที่เปิดตัวผลิตภัณฑ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นแมคบุ๊ก ไอพอด จนมาถึงไอโฟน คือผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้ “ขาย” เพียงความเป็นโปรดักส์ทันสมัย สามารถตอบรับกับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่เท่านั้น แต่ “แอปเปิล” คือแบรนด์ที่สามารถสร้างกระบวนการโฆษณาประชาสัมพันธ์ได้อย่างแนบเนียนและได้ผล จนมี “สาวก” แอปเปิลอยู่ทั่วโลก

นี่คือเสน่ห์แรงของแบรนด์แอปเปิล ส่งถึง “ไอโฟน” ที่ทำให้ทั้งดีแทคและเอไอเอสตัดใจไม่ลง

อย่างที่ว่า “เกมนี้เพิ่งเริ่ม” ยกแรกทรูมูฟอาจชนะเพราะได้ “แบรนด์” และสำหรับสงครามธุรกิจมือถือแล้ว ยังไม่เคยเห็นว่าการแข่งขันครั้งใดจะสงบลงได้อย่างง่ายดาย

Timeline

ปี 2007
-9 ก.ย. “แอปเปิล” เปิดตัวไอโฟนที่อเมริกา
-29 มิ.ย. เริ่มจำหน่ายในสหรัฐอเมริกา เป็นสินค้าไอทีที่นิตยสารไทม์ ยกย่องให้เป็นนวัตกรรมแห่งปี 2007 โดยเลือกจำหน่ายวันแรกในช่วงหยุดสุดสัปดาห์ ทำยอดขายได้ 270,000 เครื่องภายใน 30 ชั่วโมง
-วางขายในอีก 5 ประเทศ คือ ไอร์แลนด์ อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี และออสเตรีย

ปี 2008
-11 ก.ค. วางจำหน่าย “ไอโฟน 3G” ใน 22 ประเทศ 3 วันแรกทำยอดได้ 1 ล้านเครื่อง
-22 ส.ค. สิงเทลเริ่มจำหน่ายในสิงคโปร์
-21 ต.ค. แอปเปิลประกาศยอดขายในไตรมาส 4 ไอโฟนทำยอดได้ 6.89 เครื่อง รวมตั้งแต่รุ่นแรกได้ 13 ล้านเครื่อง และคาดว่าจะชนะ “แบล็กเบอรี่” ที่มียอดขาย 5.2 ล้านเครื่อง ทำให้ไอโฟนมียอดขายที่นับในด้านมูลค่าขึ้นเป็นอันดับ 3 รองจากโนเกีย และซัมซุง
-พ.ย. เว็บไซต์ www.apple.com/iphone/countries/ รายงานว่าปัจจุบันมี 64 ประเทศ ที่ขายไอโฟน 3G แล้ว และอีก 16 ประเทศกำลังจะขายในเร็วๆ นี้ แต่ยังไม่มีชื่อของประเทศไทย
-12 พ.ย. ทรูมูฟของประเทศไทย ประกาศว่าได้ตกลงเซ็นสัญญาได้สิทธิขายไอโฟนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว