นอกจากการขายครีมรีวิวเครื่องสำอางและโปรโมตอาหารเสริมจะกลายเป็นอาชีพเสริมของเหล่าดารานักแสดงแล้ว ในช่วงนี้ถ้าสังเกตให้ดีจะพบว่าสินค้าที่คนบันเทิงกำลังฮิตกันก็คือ การออกมาปั้นแบรนด์ลิปสติกแข่งกันอย่างคึกคักนั่นเอง
“เป็นผู้หญิงอย่าหยุดสวย” คำนี้ยังคงเป็นวลีเด็ดที่ใช้ได้ตลอดกาล ถึงแม้เศรษฐกิจจะแย่แค่ไหนแต่สำหรับผู้หญิงแล้ว เพื่อให้ได้เครื่องสำอางหรือสีลิปสติกที่ต้องการ ก็พร้อมจะเป็นสายเปย์
ภาพรวม 10 ปีที่ผ่านมา เทรนด์การแต่งหน้าของผู้หญิงได้เปลี่ยนไป โดยผู้หญิงส่วนใหญ่หันมาให้ความสนใจกับการดูแลตัวเองและการแต่งหน้ามากขึ้น ทั้งนี้ส่วนหนึ่งมาจากกระแสจากบล็อกเกอร์บิวตี้ และยูทูปเปอร์สอนแต่งหน้าเข้ามามีบทบาทในชีวิตของผู้หญิงมากขึ้น ทำให้เทรนด์การแต่งหน้ากลายเป็นเรื่องของความสุข ความสนุก และความคิดสร้างสรรค์
รวมไปถึงในตลาดเครื่องสำอางก็มีการแข่งขันกันอย่างหนัก ทั้งแบรนด์เล็กแบรนด์ใหญ่ที่ต่างพร้อมใจกันเปิดตัวสินค้าใหม่ๆ และจัดแคมเปญโปรโมชัน ลด แลก แจก แถม กันอย่างต่อเนื่อง ทำให้วงการคอสเมติกกลับมามีสีสันมากขึ้น
ย้อนไปเมื่อ10 ที่แล้ว ผู้หญิงทั่วไปมักจะแค่นิยมแต่งหน้าเบาๆ ด้วยการทาแป้งและลิปสติกสีแดง ชมพู ส้ม และลิปกลอสแบบใสๆ ธรรมดา แต่ทุกวันนี้ผู้หญิงส่วนใหญ่หันมานิยมเขียนคิ้ว กรีดอายไลเนอร์ ทาบลัชออน และทาลิปสติกสีสันแปลกใหม่มากขึ้น
ผลการสำรวจพฤติกรรมของผู้โภคพบว่า โดยเฉลี่ยแล้วผู้หญิงหนึ่งคนจะมีลิปสติกประมาณ 3-5 แท่ง หรือสูงสุดอาจมีถึง 200 แท่ง และเป็นสินค้าที่ผู้หญิงแทบทุกคนจะขาดไม่ได้ และเนื่องจากลิปสติกไม่ได้มีแค่สีแดงกับชมพู แต่มีสีสันให้เลือกมากมายทำให้ลิปสติกเป็นสินค้าที่มีแรงดึงดูดใจและกระตุ้นเงินในกระเป๋าของผู้หญิงได้เป็นอย่างดี
ในช่วงหลังๆ จากกระแสที่ “ดารา” หันมาทำธุรกิจผ่านโลกออนไลน์อย่างคับคั่ง เช่น ขายครีมบำรุงครีม กันแดด อาหารเสริม และกลุ่มเครื่องสำอาง เช่น แป้งตลับและรองพื้น ลิปสติก เป็นสินค้าแถวหน้าอีกประเภทหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างสูงโดยดาราหลายคนหันมาสนใจปั้นแบรนด์ของตัวเอง เช่น ขวัญ อุษามณี, น้ำชา ชีรณัฐ, เนย โชติกา และหนิง ปณิตา กับกลุ่มเพื่อนดารา เป็นต้น
โดยเครื่องสำอางและสินค้าของเหล่าดาราส่วนใหญ่นั้นจะเน้นขายผ่านช่องทางออนไลน์ เช่น เพจเฟซบุ๊ก อินสตาแกรม และไลน์ รวมไปถึงขายผ่านตัวแทนจำหน่าย ซึ่งจะเป็นผู้ที่ทำหน้าที่รีวิวโปรโมตและดูแลสินค้าแทนดารา
นอกจากนี้ในช่องทางค้าปลีกออฟไลน์ร้านเครื่องสำอางอย่าง “อีฟแอนด์บอย” ยังจัดให้มีโซนสินค้าพิเศษสำหรับคนดังCelebrity Brand วางขายสินค้าของดาราและเซเลบริตี้เพื่อดึงดูดผู้บริโภคให้เข้าร้าน นับเป็นอีกช่องทางจำหน่ายของคนดังที่น่าสนใจ
4 ปัจจัยดาราเห่อกระแสสร้างแบรนด์
ผศ.เสริมยศ ธรรมรักษ์ หัวหน้าภาควิชาการสื่อสารแบรนด์ คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ได้วิเคราะห์ถึงการที่ดารานักแสดงหันมาทำแบรนด์สินค้ากันมากขึ้นว่า อาจมีปัจจัยมาจาก
1. ใช้ชื่อเสียงและพื้นที่สื่อของตัวเองให้เกิดมูลค่า
เรียกง่ายๆ ว่าเป็นการใช้ชื่อเสียงของตัวเองเอามาต่อยอดธุรกิจ คือเป็นการใช้แบรนด์ของตัวเองทั้งในด้านความมีชื่อเสียง และการมีพื้นที่สื่อเป็นของตัวเองอย่างอินสตาแกรม เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ หรือช่องทางอื่นๆ ที่สามารถสื่อสารได้ง่าย สะดวก รวมถึงการเผยแพร่ธุรกิจที่ตัวเองทำผ่านการปรากฏตัวตามสถานที่ต่างๆ แต่ทั้งนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าแบรนด์ดาราจะประสบความสำเร็จเสมอไป เพราะกลไกที่ตามต่อมาหลังจากที่มีผู้คนรู้จักก็คือ กลไกของการตลาด การขาย และการสร้างแบรนด์
2. ไม่ต้องลงทุนเยอะแค่มีจุดขายเป็นของตัวเอง
ธุรกิจเครื่องสำอางดาราไม่จำเป็นต้องไปลงทุนสร้างโรงงาน หรือสร้างบริษัทในการผลิตสินค้าเอง เพราะมีบริษัทรับจ้างทำเครื่องสำอางและดำเนินการผลิตสินค้านั้นทั้งกระบวนการ โดยที่ดารานั้นอาจเพียงแค่วางจุดยืนของผลิตภัณฑ์ให้ชัดเจน หรือผลิตภัณฑ์ที่ทำนั้นควรจะมีความสอดคล้องกับบุคลิกภาพของดารานั้นๆ เพื่อช่วยเสริมให้ผู้บริโภคเกิดความเชื่อมั่นและชื่นชม
3. ขยับขยายอาชีพเพราะการเป็นดาราอาจไม่มั่นคง
ต้องยอมรับว่าอัตราการหมุนเวียนของดาราในวงการบันเทิงค่อนข้างสูง การมีดาราหน้าใหม่เกิดขึ้นอาจทำให้ดาราที่อยู่มาก่อน ต้องหาทางขยับขยายโอกาสให้กับตนเองด้วยการมีอาชีพรองรับหรือหาโอกาสก้าวสู่ธุรกิจอื่น เช่น ธุรกิจร้านอาหาร ฟิตเนส ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร หรือผลิตแบรนด์เครื่องสำอาง เพราะเป็นสินค้าที่ใกล้ตัวและเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผู้หญิง (หรือผู้ชาย) ต้องใช้ทุกวัน
4. มีช่องการสื่อสารและช่องการขายเป็นของตัวเอง
ทุกวันนี้ช่องทางการสื่อสารกับช่องทางการขายอาจถูกหลอมรวมไปด้วยกันไม่ว่าจะเป็นทางสื่อสังคมออนไลน์ เช่น อินสตาแกรม เฟซบุ๊ก หรือว่าไลน์ แต่ละแพลตฟอร์มต่างก็มีลูกเล่นเพื่อสนับสนุนงานทางด้านการตลาด การขาย และการเข้าถึงลูกค้ามากขึ้น ในขณะเดียวกันอาจจะไปถึงจุดขายย่อยๆ ตามห้างสรรพสินค้า เช่น ร้านเครื่องสำอางอีฟแอนด์บอยที่มีโซนสำหรับสินค้าของเซเลบริตี้โดยเฉพาะ นอกจากจะเพิ่มพื้นที่ขายทางออฟไลน์ให้กับสินค้าดาราแล้ว ยังช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้กับร้านค้า จากการนำสินค้าคนดังมาสร้างแรงดึงดูดให้ลูกค้าอยากเข้ามาเดินในร้าน
ข้อดี VS ข้อเสียดาราขายสินค้า
การที่บรรดาดาราแห่ลงมาขายสินค้าของตัวเองก็อาจจะมีทั้งข้อดีและข้อเสีย
ข้อดี คือ ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการโปรโมตสินค้าเพราะใช้ตัวเองเป็นจุดขายโปรโมตแบรนด์ตัวเอง แต่อาจจะได้ผลเพียงแค่ระยะเวลาหนึ่ง เช่น ทำให้คนรู้จัก แต่หลังจากนั้นอาจต้องใช้กลไกตัวอื่นมาช่วยในการรักษาฐานลูกค้า เช่น การรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้าเก่า การสร้างความน่าเชื่อถือให้แบรนด์ผ่านการรีวิวผลิตภัณฑ์ ซึ่งดาราคนนั้นก็ไม่ควรมาอวยผลิตภัณฑ์ด้วยตัวเอง
ข้อเสีย คือ อาจเป็นการเสียโอกาสจากผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่อยากจะว่าจ้างดาราคนนั้นเป็นพรีเซ็นเตอร์ หรือจ้างให้นำผลิตภัณฑ์ไปโปรโมตในอินสตาแกรม เนื่องจากผลิตภัณฑ์ที่จะว่าจ้างและผลิตภัณฑ์ของดารานั้น จัดอยู่ในประเภทเดียวกันทำให้เสียโอกาสรายได้และภาพลักษณ์ที่ดูดีจากการเป็นพรีเซ็นเตอร์แบรนด์ดัง
คำแนะนำสำหรับการสร้างแบรนด์ดารา
1. หลังบ้านต้องพร้อมและคอนเทนต์ต้องดี
เมื่อดาราต้องการหันมาทำธุรกิจ สิ่งที่ควรต้องมีคือการเตรียมทีมงานหลังบ้านให้มีประสิทธิภาพ เช่น การทำการตลาดเพื่อเพิ่มลูกค้าใหม่ การรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้าเก่า การกระตุ้นการขายด้วยโปรโมชันต่างๆ รวมไปถึงการสร้าง Content ของแบรนด์หรือผลิตภัณฑ์ให้เกิดขึ้นในสื่อสังคมออนไลน์ ที่ไม่ใช่เพียงแค่ดารายืนถือผลิตภัณฑ์เท่านั้น คือดาราสามารถเป็นกลไกในการสร้างการรับรู้ได้แต่ต้องมีระบบหลังบ้านอีกหลายเรื่องที่จะมารองรับ เพื่อให้ธุรกิจสามารถก้าวหน้าต่อไปได้
2. สร้างความสัมพันธ์และมีจุดยืนในตลาด
ไม่ใช่แค่ความดังหรือความมีชื่อเสียงของดาราเพียงอย่างเดียว การที่แบรนด์จะมั่นคงได้ต้องสร้างความสัมพันธ์แบบเหนียวแน่น (Brand Engagement) กับลูกค้า ซึ่งก็อาจจะต้องใช้องค์ประกอบหลายอย่าง เช่น การจัดกิจกรรมร่วมกับลูกค้า และที่สำคัญแบรนด์ควรจะมีจุดแข็งในตลาดอย่างเช่นแบรนด์เครื่องสำอางระดับโลก หรือแบรนด์ของไทยที่มักจะมีความชัดเจนทั้งในจุดยืนของแบรนด์และมีกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการชัดเจน รวมไปถึงการสร้างความโดดเด่นให้กับสินค้า สร้างให้สินค้ามีความแตกต่างน่าสนใจ ไม่ใช่แค่ให้คนจำได้ว่าเป็นสินค้าดารา.