จากบริษัทหางแถว กลายเป็นผู้ผลิต และพันธมิตรสำคัญของช่อง 3 บริษัท เซิร์ช เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด ที่ไม่ใช่ญาติก็ดูเหมือนญาติ ท่ามกลางความท้าทายที่ช่อง 3 ต้องเผชิญ ถูกชิงผู้ชม เรตติ้งหายหนักกว่าช่องอื่น จนรายได้กำไรลดลง บทบาทของ “เซิร์ช” จึงถูกจับตามองมากขึ้นในเวลานี้
จากบริษัทเล็กๆ ทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท เมื่อ 23 ปีที่แล้ว ด้วยการลงเงินสดคนละ 5 แสนบาทของเพื่อนรัก 2 คน จอนนี่ แอนโฟเน่ และ วิบูลย์ ลีรัตนขจร เพื่อเปิดบริษัท เซิร์ช เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด รับผลิตรายการโทรทัศน์ให้กับช่อง 3 พร้อมแตกบริษัทลูกออกมาจำนวนมาก ที่รับผลิตรายการข่าว บันเทิงวาไรตี้ ทำตลาดโปรเจกต์ต่าง ๆ
จากที่เคยกำไรภายใน 1 ปี ในช่วงเริ่มเปิดบริษัท เคยขาดทุน มีหนี้ถึง 400 ล้านบาท ล้มลุกคลุกคลาน จนในวันนี้ กลุ่มบริษัทเซิร์ช คือ บริษัทผู้ผลิตรายการรายใหญ่และมีบทบาทมากที่สุดในช่อง 3 หากดูเฉพาะตัวเลขรายได้ 3-4 บริษัท ที่แจ้งต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ปีที่แล้วพบว่า รวม ๆ แล้วอยู่ในหลักหลายร้อยล้านบาท
ที่สร้างชื่อเสียงอย่างมากคือแบรนด์ ครอบครัวข่าว 3 และคอนเสิร์ตเวที 3 สัญจร ให้ช่อง 3 และนับจากนี้ รายการเดิม ความรับผิดชอบเดิมยังมีอยู่ แต่ที่เพิ่มเติมคือรายการเกมโชว์ ที่ลงทุนผลิตสูงถึงตอนละ 1 ล้านบาท และการเปิดรายการใหม่ทั้งข่าวและบันเทิง รวมถึงหนังฟอร์มยักษ์ อย่างนาคี 2
*** เปิดโมเดล ”เซิร์ช” บุกเกมโชว์ ข่าว หนังนาคี 2
จุดสำเร็จปัจจุบันมีอะไรบ้าง เมื่อถามทั้งจอนนี่ และ วิบูลย์ ว่าตอนนี้เซิร์ชมีกี่รายการในกลุ่มช่อง 3 บอกได้เลยว่ามีอยู่ในทุกช่องของเครือ ทั้ง 3HD (33) 3SD (28) 3 Family (13) คิดเป็นประมาณ 6-7 ชั่วโมงต่อวัน ทั้งรายการกลุ่มข่าว และวาไรตี้บันเทิง
รายการข่าว คือรายการที่ทำให้ เซิร์ช มีที่ยืนที่ชัดเจนมากขึ้นในช่อง 3 คือผลิตรายการข่าวตั้งแต่เป็นระบบอนาล็อก จนมาเป็นทีวีดิจิทัล 3HD คือรายการ “เรื่องเด่นเย็นนี้” ที่ทำมาแล้ว 12 ปี ด้วยจุดเด่นที่ดึงพิธีกรข่าวที่โดดเด่นช่วงนั้นมาอยู่หน้าจอ คือ ธีระ ธัญไพบูลย์ จากค่ายเนชั่น และ กระเต็น วราภรณ์ สมพงษ์ จากไอทีวี และยังเป็นพิธีกรหลักจนถึงปัจจุบัน
รายการก่อนและหลังข่าวเที่ยงวันทันเหตุการณ์ คือ ก่อนข่าวเที่ยง มีรายการ “บีไทม์” ข่าวสารแวดวงธุรกิจที่ร่วมผลิตกับ “บัญชา ชุมชัยเวทย์”
หลังข่าวเที่ยง มีรายการ “คลิปข้างศาล” ที่ร่วมกับทนายสงกานต์ อัจฉริยะทรัพย์ และมีรายการ “รีวิวบันเทิง” ที่ร่วมกับกลุ่มบอร์น ของ “ต๋อย ไตรภพ ลิมปพัทธ์” รายการ “โหนกระแสแต่เช้า วันอาทิตย์” ที่เพิ่งเริ่มออนแอร์เทปแรกเมื่อ 5 พ.ย.ที่ผ่านมา ที่ร่วมกับบริษัทดีคืนดีวัน ของ “หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย”
รายการกลุ่มข่าวยังมีในช่อง 3SD รายการ “ตีข่าวเช้า” ที่เพิ่งออนแอร์ไปหมาดๆ เน้นเล่าข่าว ตอบโจทย์ตลาดแมส และคนชอบฟังข่าว โดยใช้พิธีกรเสียงดังฟังชัด ทนายสงกานต์ อัจฉริยะทรัพย์ “เอ-ดนยกฤตย์ แดงหวานปีสีห์” อรรินทร์ ยมกกุล บ.บู๋อ่านข่าวกีฬา
โหนกระแสช่วงค่ำ จันทร์–ศุกร์ และในช่อง 13 Family ก็ยังมีรายการประเภทข่าวชาวบ้านอีกรายการหนึ่งด้วย
ส่วนรายการกลุ่มวาไรตี้ บันเทิง ก็มีอีกหลายรายการ ที่มีทั้งผลิตเอง และร่วมกับผู้จัดรายการเฉพาะรายการนั้น ๆ และกำลังจะมีรายการใหญ่ที่ซื้อฟอร์แมตมาจากต่างประเทศ ที่ช่อง 3 และเซิร์ชทดลองการโฆษณาร่วมกัน และแบ่งรายได้กัน หากสำเร็จ จะเป็นโมเดลใหม่ที่ช่องจะร่วมมือกับผู้ผลิตรายอื่น ๆ ด้วย
เซิร์ช ยังเป็นแม่งานในการชิงผู้ชมคอซีรี่ส์อินเดียกลับมาให้ช่อง 3 ด้วยเรื่องล่าสุดฟอร์มยักษ์ “นาคิน” เพื่อเลี้ยงกระแสรอละคร “นาคี 2”
รวมถึงกำลังมีโปรเจกต์ใหญ่ กับ “นายประวิทย์ มาลีนนท์ อดีตกรรมการผู้จัดใหญ่ ช่อง 3 คือสร้างหนัง “นาคี 2” ด้วยทุนสร้างส่วนตัวของ “ประวิทย์” กว่า 50 ล้านบาท ที่ขณะนี้ถ่ายทำเสร็จแล้ว อยู่ในขั้นตอนการทำกราฟิกที่ถือเป็นส่วนสำคัญและใช้เวลา คาดว่าจะฉายได้ในเดือนมี.ค.ปีหน้า โดยเซิร์ชทำหน้าที่ทำการตลาด โดยมีค่ายแอคอาร์ต ของ “อ๊อฟ” พงศ์พัฒน์ วชิรบรรจง เขียนเรื่องขึ้นมาใหม่ และผลิต มีดาราคู่ขวัญของช่อง 3 คือ “ณเดชน์ คูกิมิยะ” และ “ญาญ่า” อุรัสยา เสปอร์บันด์” นำแสดง
จนมีกระแสข่าวลือสนั่นทั้งวงการเอเจนซี่ และแวดวงบันเทิงว่า “วิบูลย์” คือเครือญาติมาลีนนท์หรือไม่ ถึงได้มาไกล ทรงพลังในช่อง 3
** กลุ่มเซิร์ช ไม่ใช่เครือญาติ ”มาลีนนท์”
“จอนนี่ และ วิบูลย์” ในชุดสูทเนี้ยบ เพราะเพิ่งเสร็จภารกิจพบเอเจนซี่ วันหนึ่งเมื่อช่วงต้นเดือนพ.ย.ที่ผ่านมา ที่พวกเขาต้องพรีเซนต์รายการฟอร์มใหญ่ ที่เซิร์ชได้รับความไว้วางใจจากช่องให้ผลิต และใช้โมเดลใหม่ในการแบ่งรายได้ คือขายโฆษณาร่วมกันและแบ่งรายได้ ได้ร่วมกันเปิดใจกับ Positioning โดย “วิบูลย์” บอกว่า ตัวเขาไม่ใช่ญาติ ไม่ใช่ลูกหลาน ถ้าจะเป็นก็เหมือนลูกจ้างเท่านั้น ขณะที่ “จอนนี่” บอกว่าที่ได้รับความไว้ว้างใจ เพราะนับตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ 23 ปี เซิร์ชไม่เคยไปผลิตรายการให้ช่องอื่น
ยังมีคำยืนยันจากจอนนี่ว่า “เรามีผู้ถือหุ้นหลัก 3 คนเหมือนเดิม คือ ผม อาร์ม (วิบูลย์) และ พี่จุ๊บ (วุฒินันท์ ภิรมย์ภักดี ทายาทเบียร์สิงห์) ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลง เราทำงานได้งานตามผลงาน ตามขั้นตอนเหมือนคนอื่นๆ โดยเฉพาะในช่วง 10 ปีแรกของเรานั้น เราอยู่หางแถวของทุกคนเลยด้วยซ้ำ แต่ด้วยผลงานของเรามากกว่า ทำให้เราเติบโตขึ้นจนถึงทุกวันนี้ได้ ที่สำคัญคือ เราคือผู้ผลิตรายการที่ไม่เคยไปทำให้กับช่องอื่นๆ เราปักหลักที่ช่อง 3 เพียงช่องเดียวมาโดยตลอด เราไม่ได้มีอภิสิทธิ์เหนือใคร เราเข้าเสนอตามช่องทาง แต่ช่วงแรกด้วยความเป็นบริษัทใหม่ ไม่มีประสบการณ์เราเลยได้เวลาในช่วงหลังเที่ยงคืน ซึ่งสมัยนั้น เป็นรายการเพลงลูกทุ่งส่วนใหญ่ และเป็นช่วงเวลาที่ไม่มีการจัดเรตติ้งด้วย เพราะเป็นช่วงเวลาที่ไม่มีใครสนใจ แต่เราก็เอา เพราะอยากเริ่มต้นธุรกิจ“
นี่คือการเริ่มเส้นทางในช่วงการเริ่มต้นของเซิร์ช ที่เขาและวิบูลย์ เคยเป็นเพื่อนเรียนมาด้วยกันที่โรงเรียนเซนต์ ดอมินิก เมื่อจบแล้วต่างมีเส้นทางของตัวเอง แต่มีเป้าหมายเดียวกัน เมื่อมาเจอกันอีกครั้งในช่วงอายุประมาณ 25 ปี คืออยากมีธุรกิจของตัวเอง ขณะที่จอนนี่เป็นนักแสดงดัง ส่วนวิบูลย์ ก็ทำธุรกิจจิวเวลรี่กับครอบครัวด้วย
**ช่อง 3 จุดนัดฝัน “จอนนี่–วิบูลย์”
นอกจากความเป็นนักแสดงที่ช่อง 3 ของจอนนี่แล้ว ยังมีจังหวะที่ “วิบูลย์” ได้เจอกับ “นายประวิทย์” เมื่อครั้งมีโอกาสได้พรีเซนต์งานในฐานะโปรดิวเซอร์รายการ “โลกใบเล็ก” ของ “พี่นก ฉัตรชัย” ที่แม้ว่าจะไม่ได้ร่วมงานรายการใหม่ของพี่นก แต่จุดนั้นทำให้ผู้ใหญ่เห็นแววในการพรีเซนต์ และความตั้งใจ ทั้งสองจึงถูกถามว่าอยากทำรายการหรือไม่ มีเวลาหลังเที่ยงคืน
จากนั้นก็ ได้เวลาทำรายการหลังเที่ยงคืน และได้เวลาอื่น ๆ ที่ผู้จัดหลายคนไม่อยากได้ แต่ “เซิร์ช” คือหน้าใหม่ ถ้าอยากมีอนาคต ก็ต้องลองทำ เพราะยุคนั้นทีวีมีแค่ 4 ช่อง ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ใคร ๆ จะเป็นผู้ผลิตได้
จากรายการหลังเที่ยงคืน จากนั้นได้เวลาช่วงเช้าประมาณ 6 โมงเช้าอีกช่วงหนึ่ง ซึ่งเป็นช่วงที่ไม่มีใครสนใจอีกเช่นกัน จอนนี่ และ วิบูลย์ ก็จัดทำเป็นรายการวาไรตี้เกี่ยวกับแฟชั่น การแต่งตัว และเครื่องประดับจิวเวลรี่ ที่เป็นพื้นฐานธุรกิจของครอบครัววิบูลย์ ทำให้เข้าใจและสามารถนำเสนอเนื้อหารายการได้อย่างเข้าใจ โดยช่องสนับสนุนสตูดิโอการผลิต โดยจอนนี่ บอกว่า เขาเป็นทั้งพิธีกรและเด็กส่งเทป ในขณะที่วิบูลย์หาสปอนเซอร์ในทุกรูปแบบ ทั้งสปอต ทั้ง Tie-in ในรายการ
“เราทำได้แค่ 4-5 เดือน เราก็คุ้มทุน เริ่มกำไรแล้ว ก็ถือว่าเร็วมาก เพราะเราเซฟคอสต์ทุกอย่างด้วยการทำเองทั้งหมด ทำให้เราเริ่มได้ทำรายการอื่นๆ ตามมา” จอนนี่กล่าว
**จาก 168 คอนเสิร์ต มาเป็น คอนเสิร์ต ไทยทีวี 3 สัญจร
ช่วงผลิตผลิตรายการ 168 ชั่วโมง เริ่มขยายธุรกิจมากขึ้น เช่น การทำรายการคอนเสิร์ต 168 คอนเสิร์ต ที่ตระเวนจัดไปในจังหวัดต่างๆ โดยเป็นรายการเดียวที่สามารถนำนักร้องจากทุกค่าย ทั้งจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่และอาร์เอส มาร้องเพลงบนเวทีเดียวกันได้ และยังมีดาราของช่อง 3 มาร่วมด้วย
รูปแบบการจัดคอนเสิร์ตนี้ถือเป็นงานถนัดของวิบูลย์ที่รับจัดงานคอนเสิร์ตติดต่อนักร้องศิลปินมาตั้งแต่ยังเรียนมหาวิทยาลัย ทำให้รายการ 168 คอนเสิร์ตได้รับความนิยม จน “นาย” ประวิทย์ มาลีนนท์ เข้ามาคุยให้ปรับเปลี่ยนเป็นรายการ “คอนเสิร์ต ทีวี 3 สัญจร” เพื่อสร้างแบรนด์ให้กับช่อง 3 ให้กระจายออกไปตามต่างจังหวัดแทน
“ช่วงนั้นเป็นช่วง ”ล้มเสาติดจาน” เพราะเสาอากาศที่รับสัญญาณช่อง 3 ไม่ครอบคลุมทำให้เราแพ้ช่องอื่นๆ แต่จานดาวเทียมเป็นตัวแก้ปัญหาทั้งหมด ทำให้คนรับชมช่อง 3 ได้ทั่วประเทศ ช่อง 3 จึงให้รายการของเราเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างแบรนด์ในทั่วประเทศ”
คอนเสิร์ต ทีวี 3 สัญจร ประสบความสำเร็จมาก เพราะจัดไปแล้วมากกว่า 100 ครั้ง ทั่วประเทศ จัดเดือนละครั้ง โดยใช้โมเดลธุรกิจมีสปอนเซอร์เป็นผู้สนับสนุนค่าใช้จ่ายในการจัดคอนเสิร์ตทั้งหมด เซิร์ชจ่ายค่าตัวศิลปิน นักแสดง ส่วนรายได้จากโฆษณาที่เกิดขึ้นก็เป็นของเซิร์ชทั้งหมด
ขณะที่ช่อง 3 ได้รายการและได้แบรนดิ้ง
นอกจากนี้ก็ยังจัดอีเวนต์งานต่างๆ ให้กับช่อง 3 เช่น อีเวนต์ใหญ่ประจำปีของช่องเพื่อฉลองวันเกิดช่อง 3 ซึ่งปีหน้าจะจัดงานแข่งขันบอลอีกครั้งในวันที่ 10 มีนาคม 2561
อย่างไรก็ตาม ทุกเส้นทางใช่ว่าจะราบรื่นเสมอไป ช่วง 10 ปีแรก เหมือนมีพายุลูกใหญ่ซัดเข้าบริษัทเป็นระยะ ๆ อย่างเหตุการณ์ช่วงทำคอนเสิร์ต 168 วิบูลย์ และจอนนี่เล่าถึงเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดมาก่อนกับเซิร์ช ว่า ครั้งหนึ่งที่จัดคอนเสิร์ตที่จังหวัดหนึ่งในภาคเหนือ ขายบัตรหมดแล้ว ได้เงินประมาณ 2 แสนบาท กำไรแน่ๆ 1 แสนบาท ปรากฏว่าพายุเข้า ทุกอย่างพังหมด สุดท้ายต้องคืนเงินค่าตั๋วผู้ชมทั้งหมด พูดได้คำเดียวว่าพังหมด นอกเหนือจากเคยเจอฟ้าผ่าถูกยุบรายการ และช่องให้ทำรายการขึ้นใหม่ภายใน 1 เดือน
วิบูลย์ ยังเปิดเผยถึงเหตุการณ์สำคัญที่ทำให้เปลี่ยนความคิดในการทำธุรกิจคือ เคยเป็นหนี้ถึง 400 ล้านบาท มีบริษัทลูกกว่า 20 บริษัท ถึงขั้นคิดสั้น และโทรหาจอนนี่ และสุดท้ายก็หาทางออก จนสามารถแก้หนี้ได้ภายใน 7 ปี จากนั้นจึงยึดหลักทำธุรกิจโดยต้องไม่เป็นหนี้จนถึงปัจจุบัน
หลังเซิร์ชฟื้นขึ้นมาอีกครั้งในปี 2547 กับรายการคอนเสิร์ตทีวี 3 สัญจร จนปี 2548 ที่วิบูลย์บอกว่าพลิกชีวิตของเซิร์ช คือ การสร้างแบรนด์ครอบครัวข่าว ที่ “นายประวิทย์” มีนโยบายว่า ให้ทำแบรนดิ้งรายการข่าวทั้งช่อง จนกลายเป็นครอบครัวข่าว 3 ในจังหวะที่ช่วงนั้น มี “สรยุทธ สุทัศนะจินดา” เข้าร่วมฟื้นเวลาข่าวเช้ากับช่อง 3 ที่เป็นช่วงเวลาผลิตของบีอีซีเทโร จากนั้นก็ต่อยอดมาที่ วิทยุครอบครัวข่าว ปฏิทินครอบครัวข่าว
ในเวลานี้ธุรกิจทีวีต้องเผชิญความเปลี่ยนแปลงมาก ที่ “วิบูลย์” มองว่าถ้าเปรียบธุรกิจทีวีดิจิทัลคือน้ำท่วมใหญ่ แต่สิ่งที่กำลังมาคือ ออนไลน์ ที่เหมือนสึนามิ ที่จะพัดเข้าสู่อุตสาหกรรมทีวี
ความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ในการบริหารงานของช่อง 3 ที่เซิร์ชร่วมงานผลิตรายการมานานกว่า 20 ปี จึงเป็นปกติที่ทั้งช่อง 3 และเซิร์ชต้องปรับตัว ทุกคนต้องเข้าใจความเปลี่ยนแปลง และปรับตัวให้ได้.