หลังจากใช้เวลาปลุกปั้นมา 3 ปีเต็ม จนเวลานี้ธุรกิจความงามและสุขภาพ “ไลฟ์สตาร์” โตฉลุยทุกไตรมาส กลายเป็นธุรกิจหลักทำรายได้แซงหน้าธุรกิจสื่อไปแล้ว
ไมเพียงแต่ต้องเตรียมย้ายจากหมวด ธุรกิจ “สื่อ” มาอยู่ในหมวด “พาณิชย์” ตามกติกาของตลาดหลักทรัพย์ฯ เท่านั้น
แต่ยังเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของอาร์เอส หลังจากทำธุรกิจมา 35 ปี ที่ เฮียฮ้อ –สุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) RS ประกาศในงานแถลงกลยุทธ์ของอาร์เอส ปี 2018 ถึงเวลาต้องทรานฟอร์มไปสู่โมเดลธุรกิจใหม่แบบ “ไร้กรอบ” ไม่ยึดติดกับธุรกิจรูปแบบเดิมอีกต่อไป เพราะมั่นใจในทีมงาน “อาร์เอส” ที่พิสูจน์แล้วว่าพร้อมจะทำอะไรงานที่ท้าทายได้ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจอะไรขอให้วิชั่นชัดเจน
“โมเดลธุรกิจเวลาของอาร์เอสเวลานี้ ก็ต้องมานิยามกันใหม่เพื่อบอกกับนักลงทุน แต่จะบอกว่าเป็นเจ้าของสื่อ หรือเป็นเจ้าของเฮลท์แอนด์บิวตึ้ ก็คงไม่ได้ เพราะปีหน้าเรากำลังทำธุรกิจใหม่เพิ่มอีก 1-2 ธุรกิจ จะเห็นได้เลยว่า อาร์เอสไร้กรอบจริงๆ”
เมื่อประเมินแล้ว่า การทรานฟอร์มที่ผ่านมาเห็นผลดี เฮียฮ้อ วางเป้ารายได้ไว้ถึง 5,300 ล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ โตถึง 50% จากปีนี 2560 ซึ่งคาดว่าจะมีรายได้ 3,550 ล้านบาท
โดยที่มาของรายได้อันดับ 1 จะมาธุรกิจเฮลท์แอนด์บิวตี้ 2,500 ล้านบาท สัดส่วน 47% ตามมาด้วยธุรกิจสื่อ 2,450 ล้านบาท สัดส่วน 46% ธุรกิจเพลง 250 ล้านบาท สัดส่วน 5% และธุรกิจรับจ้างและผลิตกิจกรรม สัดส่วน 2%
ในปีหน้า ธุรกิจความงามและสุขภาพ ไลฟ์สตาร์ ถูกวางให้เป็นธุรกิจ “เรือธง” ของอาร์เอส เนื่องจากเติบโตแบบก้าวกระโดด ปีนี้ทำรายได้ 1,400 ล้านบาท เติบโต 700% ปีหน้าจึงตั้งเป้าโตถึง 2,500 ล้านบาท
ตั้งเป้าเพิ่มขนาดนี้ เฮียฮ้อมองว่า เป็นอุตสาหกรรมที่มีขนาดใหญ่มากจนยากจะประเมินได้ คาดว่าเกินแสนล้าน และที่สำคัญ ไม่มีกรอบชัดเจน มีทั้งแนวลึกและแนวนอน แต่นั่นก็เป็นโอกาสของปีหน้า อาร์เอสจะต้องใส่เกียร์เดินหน้า ขยายผลิตภัณฑ์ความงามและสุขภาพ และสินค้าในหมวดอื่นๆ มาเพิ่ม
จากปัจจุบันมี 3 แบรนด์ “มาจีค” ทำตลาดกลุ่มสกินแคร์ เป็นกลุ่มทำรายได้หลัก , “รีไวฟ์” ทำตลาดกลุ่มแฮร์แคร์ และ “เอส.โอ.เอ็ม” กลุ่มอาหารเสริม ซึ่งทั้ง 3 กลุ่ม เน้นกลุ่มเป้าหมายวัย 35 ปีขึ้นไป โดยปีหน้าจะเพิ่มมีสินค้าใหม่ 30 รายการ จากที่มีอยู่แล้ว 37 รายการ เพิ่มพันธมิตรอีก 3 ราย จากเดิมมีอยู่ 3 ราย
นอกจากนี้จะเพิ่มหมวดสินค้าครัวเรือนใช้ในบ้านและไลฟ์สไตล์มาทดลองการทำตลาดโดยเลือกสินค้ายอดนิยมที่ความต้องการสูงอย่างกระทะและมีด แม้จะแข่งขันสูงแต่เชื่อว่าจะสร้างให้แตกต่างได้ด้วยตัวสินค้าและเทคนิคการตลาด
ที่ไหนปลาเยอะก็มีคนมาจับเยอะ ที่ปลาไม่เยอะ ตลาดจะนิ่งๆ ผมมั่นใจทีมงาน ที่พิสูจน์แล้วว่า อาร์เอสทำอะไรก็ได้ ทุกธุรกิจผมใช้ทีมเดิม
สัดส่วนช่องทางขายหลักจะใช้พนักงานเทเลเซลส์ 90% จะรับเพิ่ม 100 คน จากที่มีอยู่ 350 คนและวางเป้าหมายขยายฐานสมาชิกให้เพิ่มเท่าตัว จาก 7 แสนราย เป็น 1.5 ล้านราย
ช่อง 8 วางบทบาท 2 มิติ
ธุรกิจ “สื่อ” ยังคงเติบโตได้ มีทีวีดิจิทัล ทีวีดาวเทียม 4 ช่อง และคลื่นวิทยุคูลเอ็ฟเอ็ม โดยทีวีดิจิทัลช่อง 8 จะเป็นหลักในการทำรายได้ ในปีหน้า 2,000 ล้านบาท จากเป้ารายได้สื่อทั้งหมด 2,450 ล้านบาท ใช้งบลงทุน 1,700 ล้านบาท เท่ากับปีนี้
เฮียฮ้อ วางบทบาทของ “ช่อง 8” เป็น 2 คือ มิติของธุรกิจทีวีดิจิทัล และมิติของการเป็น “สื่อ” เพื่อต่อยอดให้กับธุรกิจอื่นๆ
ในแง่ของธุรกิจ ”ทีวีดิจิทัล” ช่อง 8 จะต้องเป็นผู้ชนะในอุตสาหกรรม โดยมี “โรดแมป” ในการเดินไปไว้เป็นสเตปชัดเจน เรตติ้งช่อง 8 ติดขึ้นต่อเนื่อง จนติดท็อป 5 ของทีวีดิจิทัลที่ทำเรตติ้งสูง
กลยุทธ์ของช่อง 8 ปีหน้า จะเน้นไพรม์ไทม์ ช่วงเช้า ตั้งแต่เวลา 6.00-9.00. น ซึ่งเวลานี้ ช่องข่าวของอาร์เอสมีเรตติ้ง 1.2 ล้านคน/นาที จัดเป็นอันดับ 2
ส่วนไพรม์ไทม์ ช่วงเย็น 6 โมงเย็นถึง 4 ทุ่ม เรตติ้งของช่อง 8 ติดอยู่ท็อป 5 ใกล้เคียงกันทั้ง 4 ช่อง โดยมาจาก ละคร และซีรีส์อินเดีย โดยเฉพาะซีรีส์หนุมาน ทำเรตติ้งเฉลี่ย 2.5 ล้านคน/นาที สร้างกระแสได้ดี จึงเป็นที่มาของรายได้ 2 พันล้าน เพราะเตรียมปรับค่าโฆษณาเพิ่ม 45% ในปีหน้า จากราคาเฉลี่ย 3 หมื่นบาท เพิ่มเป็น 4.5 หมื่นบาทต่อนาที
ในมิติความเป็น “สื่อ” ช่อง 8 จะเป็นหัวหอกหลักในการต่อยอดให้กับธุรกิจใหม่ๆ ซึ่งเห็นผลมาแล้วจาก “ความงามและสุขภาพ” ซึ่งยุทธศาสตร์จะเข้มข้นขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น
รีแบรนด์อาร์สยามทำทุกแนวเพลง คัดศิลปินเหลือ 30 คน คืนสัญญากว่า 100 คน
ธุรกิจเพลง ยังคงเป็นธุรกิจสำคญของอาร์เอส เฮียฮ้อ ยืนยันว่า ไม่ยุติหรือยกเลิกการทำ แต่ต้องปรับเพื่อให้คล่องตัวและมี “กำไร” สม่ำเสมอ และยังคงเป็นธุรกิจ “ต้นน้ำ” ต่อยอดสร้างธุรกิจใหม่ๆ ได้
กลยุทธ์ในปีหน้าจะปรับแนวทางใหม่ นำค่ายเพลง “อาร์สยาม” มารีแบรนด์ใหม่ ภายใต้คอนเซ็ปต์ “ดนตรี ไร้กรอบ” เพื่อขยายขอบเขตใหม่ไม่จำกัดเฉพาะ “ลูกทุ่ง” อีกต่อไป แต่ทำทุกแนวเพลงเพื่อตอบโจทย์คนฟังเพลงทุกแนว
งานนี้เฮียฮ้อต้องลงมาดูเอง เพราะจะต้องนำ “ศิลปิน” ในสังกัดที่มีอยู่กว่า 100 คน นำมาคัดเลือกใหม่ ให้เหลือไม่เกิน 30 คน โดยจะเลือกเฉพาะศิลปินที่ร้องได้หลายแนวเพลง เล่นละคร เล่นหนังได้ เพื่อสร้างรายได้ทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นจากงานโชว์ตัวตามคอนเสิร์ตและอีเวนต์ต่างๆ รวมไปถึงพรีเซ็นเตอร์สินค้า การแสดงทั้งละครและภาพยนตร์ เป็นต้น สตรีมมิ่งและดาวน์โหลดเพลง ตลอดจนจัดเก็บลิขสิทธิ์เพลง คาดว่าจะออกซิงเกิ้ลไม่ต่ำกว่า 40 เพลงต่อปี ตั้งเป้ารายได้ 250 ล้านบาท
ส่วนศิลปินที่เหลือที่ไม่ตรงกับแนวทางจะคืนสัญญาเพื่อไม่ให้เกิดครหาโดยคาดว่าจะคืนสัญญาถึง 100 คน.