กลายเป็นปม “ดราม่า” ร้อนๆ ในโลกออนไลน์ กับเรื่องราวชีวิตอันแสนดราม่าของผู้ร่วมรายการ Let Me In Thailand ที่ถ่ายทอดปมชีวิตด้านลบ ทั้งหน้าตาสุดอัปลักษณ์ คางยื่น ปากเบี้ยว ตาเข ไม่มีใครคบ จนต้องใช้ชีวิตหลบๆ ซ่อนๆ นั้น ได้ถูกจับตาว่า นี่คือ สตอรี่ที่ตั้งใจสร้าง “เรื่องโกหก” เพื่อเรียกคะแนนสงสารจากผู้ชม
เมื่อชาวโซเชียลวิจารณ์หนัก หลังรายการ Let Me In Thailand ศัลยกรรมพลิกชีวิต ซีซัน 3 ที่ออกอากาศทางช่องเวิร์คพอยท์ เลือกพลิกชีวิตให้กับสาว จุ๊บจิ๊บ-จิราภรณ์ หอมสนั่น สาวปากเบี้ยว ที่มีใบหน้าสวยน่ารักอยู่แล้วไปทำศัลยกรรมพลิกชีวิตที่เกาหลีใต้ โดยมีหมอเป็นผู้คัดเลือก ซึ่งการเลือกครั้งนี้กลับค้านสายตาคนดูที่รู้สึกว่าสาวอีกคนสมควรได้รับเลือกให้ไปเมกโอเวอร์มากกว่า
จากนั้นในโลกออนไลน์ได้แฉว่า สาวจุ๊บจิ๊บ แท้จริงแล้วเธอไม่ได้ยากจน ลำบากเรียนโรงเรียนวัด ไม่มีเงินจนต้องออกไปทำงานรับจ้างล้างจานอย่างที่รายการนำเสนอไปเลยแม้แต่น้อย เพราะดูจากรูปเก่าๆ ที่สาวจุ๊บจิ๊บโพสต์ใช้โทรศัพท์ไอโพน ดัดฟัน ใส่รองเท้าไนกี้ ใช้คอมฯ แมค แถมอยู่คอนโดศุภาลัยปาร์ค ย่านเกษตรนวมินทร์
ชาวเน็ตที่ได้เห็นเรื่องราวของสาวจุ๊บจิ๊บ ต่างพากันได้เข้ามาแสดงความคิดเห็น โดยอ้างว่า ดูไม่ใช่คนมีปัญหาอะไรกับใบหน้าเลย ถึงแม้น้องจะไม่ได้สวยมาก แต่เค้าโครงหน้าเดิมดูโอเค สวยกว่าใครอีกหลายๆ คนที่เขาไม่มีโอกาส พร้อมเหน็บการที่เธอทำเช่นนี้แค่พยายามสวยด้วยตัวเองโดยที่ไม่ต้องให้ใครออกเงินค่าศัลยกรรมให้หรือเปล่า
บ้างก็เห็นว่า ภาพก่อนทำศัลยกรรมในรายการมีการเเต่งรูป หรือไม่ก็ใช้ตัวช่วยทำให้ปากเบี้ยว หรืออาจเป็นไปได้ที่หาอะไรมายัดแก้มให้ดูเบี้ยวหรือเปล่า เพราะจากที่ดูรูปเก่าๆ ตัวจริงเธอไม่ได้คางเบี้ยวขนาดนั้น
หลายคนตั้งข้อสังเกตว่า จุ๊บจิ๊บนั้นอยากสวยอยากทำศัลยกรรม ก็ไม่มีใครว่าถ้านั่นเป็นเงินตัวเอง แต่การมาเมกเรื่องว่าจน โดนล้อ เรียนโรงเรียนวัด จนต้องไปรับจ้างล้างจาน เพื่อให้ได้มาทำฟรี หรือแท้จริงแล้วรายการมีส่วนช่วยในการสร้างเรื่องราวด้วยหรือไม่
นอกจากนี้บางส่วนยังมองว่า “หน้าเดิม” ของสาวจุ๊บจิ๊บนั้นก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร ดูเหมือนเธอจะเขียนเรื่องราวปมชีวิตเกินจริงไปซะหน่อย อีกทั้งแนะในส่วนของทีมงานรายการว่ารูปภาพที่ถ่ายก่อนทำศัลยกรรมแต่งมากจนดูรู้ว่าจงใจแต่งให้ผิวดำเกินไป หรือไม่ และสงสัยว่าทางรายการนี้ใช้เกณฑ์อะไรในการคัดเลือกผู้เข้าแข่งขันในรายการ
ยิ่งเมื่อรุ่นพี่รุ่นน้องที่ได้รู้จักสาวจุ๊บจิ๊บ ต่างตบเท้าออกมาเล่าความจริงว่าแท้จริงแล้วตอนเรียนมัธยมเธอเป็นดาวของโรงเรียน ชอบทำกิจกรรมต่างๆ ในโรงเรียน และยืนยันได้เลยว่าหน้าตาไม่ได้แย่แบบในรายการ พร้อมกับจบมาจากโรงเรียนสตรีศรีน่าน รุ่น 90 อยู่ จ.น่าน ไม่ใช่ จ.สุพรรณบุรี อย่างที่พูดในรายการ อีกทั้งรู้สึกสงสารคนที่เขาขี้เหร่กว่แต่กลับต้องมาพลาดโอกาสดีๆ ไป
ในเมื่อตัวจริงกลับกินหรู อยู่แพง หน้าไม่ได้แย่ แต่ยังกล้ามาโกหกในรายการแบบนี้ตัวจริงเป็นอย่างไร หลายคนจึงอยากรู้ความจริง
โลกโซเชียลฯ ได้ตั้งข้อสังเกตว่า นี่อาจเป็น “การตลาด” ของเวิร์คพอยท์ ที่ดูไม่จริงใจกับผู้ชมรายการสักเท่าไหร่ เพราะที่ผ่านมาหลายต่อหลายครั้งที่ “เวิร์คพอยท์” เรียกเรตติ้งให้กับรายการตัวเองโดยการนำเสนอที่ไม่ชัดเจน จนทำให้ผู้ชมเกิดความสับสน และสร้างดราม่าให้ถูกพูดถึงจนกลายเป็นกระแสในโลกออนไลน์
หากยังจำกันได้ รายการ “The Mask Singer หน้ากากนักร้อง” ที่แข่งขันในรอบแชมป์ชนแชมป์แบบถ่ายทอดสด จนถึงนาทีสำคัญในช่วงท้ายรายการพิธีกรกลับไม่ยอมให้แชมป์ซึ่งขณะนั้น คือ หน้ากากทุเรียน ถอดหน้ากาก แต่กลับให้พิธีกรประกาศกลางรายการว่า จะไปเปิดหน้ากากในสัปดาห์หน้า เพราะทางรายการมีกฎว่าเปิดหน้ากากได้แค่อาทิตย์ละหนึ่งคนเท่านั้น
งานนี้ทำเอาคนดูทั้งประเทศ งงเด้! งงเด้! จนควันออกหูพ่นดรามาลูกโตเต็มโลกโซเชียลฯ ว่าทำไมทางรายการ ถึงไม่ยอมเฉลยว่าใครคือหน้ากากทุเรียนในสัปดาห์นี้ให้จบไปเลย ทำให้ผู้ชมผุดแฮชแท็กโจมตีกลับ#RipTheMaskSinger ขึ้นมาทันทีในทวิตเตอร์ และในเฟซบุ๊กผู้ชมต่างกดอีโมชั่น “โกรธ” กับแบบรัวๆ
อีกหนึ่งเหตุการณ์ที่กลายเป็นเรื่องฉาวโฉ่จากรายการ “Thailand Got talent” ซีซัน 2 มีผู้เข้าแข่งขันผู้หญิงคนหนึ่งชื่อ “ปอนด์” มาแสดงในรายการนี้โดย “แก้ผ้า” แล้วเอาสีทาทั่วตัวแล้วละเลงบนผืนผ้าใบ เธอโดยอ้างว่านั่นเป็นการแสดงศิลปะแขนงหนึ่ง จนคนก่นด่าเธอคนนี้กันทั่วบ้านทั่วเมือ
ก่อนที่ความจะแตกในภายหลังว่า เธอถูก “ว่าจ้าง” ให้มาแก้ผ้าระบายสีในรายการ เพื่อให้เกิดกระแสดราม่าส่วนภาพที่เธอวาดมันเป็นภาพอะไร เธอเองก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะเธอไม่ใช่ศิลปิน แต่ทำงานเป็นสาวบาร์ เมื่อประชาชนรู้ความจริงก็มีการเรียกหาคำชี้แจงและความรับผิดชอบจากรายการ และทางรายการยังคงทำหูทวนลมจัดรายการต่อไป ถึงแม้ความนิยมจะร่วงก็ตาม
แม้ดราม่าที่เกิดขึ้นจะเป็นกระแสในด้านลบแต่เมื่อเทียบกับเรตติ้งของรายการที่ทำให้ผู้คนสนใจเวิร์คพอยท์กลับยิ้มแฉ่งต่อฟีดแบ็กที่ได้รับกลับมาจากผู้ชมอย่างล้นหลาม
นอกจากนี้ชาวเน็ตบางส่วนยังได้ตั้งกระทู้เพื่อสอบถามความเห็นจากผู้ชมถึงการที่เวิร์คพอยท์ ชอบนำเรื่องดราม่าของผู้เข้าแข่งขันประกวดร้องเพลงมานำเสนอ เค้นถามเรื่องราวชีวิตเรียกน้ำตาในรายการประกวดร้องเพลง เหมือนกำลังดูหนังชีวิต เน้นขายดราม่า เพื่อเรียกเรตติ้ง เรียกคะแนนสงสาร เพื่อปูฐานไปสู่อะไรก็ไม่รู้ ในเมื่อสุดท้ายก็วัดกันที่เสียงร้องอย่างเดียว นี่แหละถึงทำให้ไม่อยากดู
บ้างก็บอกว่า ไม่ชอบ มุกซ้ำๆ ชอบเอาน้ำตา ความดราม่ามาเรียกคะแนนสงสาร แทนที่จะแข่งกันจากความสามารถจริงๆ เห็นรายการประเทศไทยหลายรายการมักจะใช้มุกนี้บ่อยๆ มุกซ้ำๆ เดิมๆ เห็นจนเอียน
ในด้านของผู้ผลิตรายการทีวี มองว่า การทำรายการยุคนี้ จำเป็นต้องทำตลาดออนไลน์ควบคู่กัน เพราะเมื่อรายการพูดพูดถึง หรือเป็นกระแสในออนไลน์แล้ว ย่อมส่งผลให้คนหันมาสนใจติดตามดูรายการ ทั้งการหาดูย้อนหลังผ่านออนไลน์ และติดตามดูจากหน้าจอทีวี ส่งผลให้เรทติ้งคนดูเพิ่มขึ้นทั้งหน้าทีวีปกติ และบนสื่อออนไลน์ ซึ่งก็ถือเป็นอีกช่องทางทำรายได้ของทีวี
เวิร์คพอยท์เองโดย ชลากรณ์ ปัญญาโฉม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานดิจิทัลทีวี บริษัทเวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) เคยได้ให้สัมภาษณ์ผ่าน Positioning ถึงปัจจัยสำคัญของความสำเร็จของรายการ
“การผลิตรายการดีด้วย คนปรุง ฝ่ายโปรดักชันเก่ง และต้องยอมรับว่าช่องทางออนไลน์มาเสริมรายได้ เกิดการพูดคุยกัน ทำให้รายการดังไปอีก ถ้าเป็นสมัยก่อนรายการไหนดัง จะได้ยินคนพูดถึง แต่ไม่รู้ว่าจะไปดูจากไหน เวลานี้บางคนดูย้อนหลังผ่านออนไลน์แล้ว ก็กลับมาดูทีวีเยอะมาก เช่นเดียวกับคนที่เลิกดูทีวี และไม่ค่อยดูทีวี ก็หันมาดูร่วมกับครอบครัว”
ส่วนรายได้ออนไลน์ ต้องถือว่าเป็นการเรียนรู้ร่วมกัน ทั้งแพลตฟอร์มและเราในฐานะผู้ผลิตด้วย ต้องหาทางออกร่วมกัน ว่าทำอย่างไรให้ผู้ผลิต แพลตฟอร์ม และคนดูได้ประโยชน์ร่วมกันทั้งหมด”
ทางด้าน มีเดียเอเจนซี่เองมองว่า ด้วยอิทธิพลของสื่อออนไลน์ที่ส่งผลต่อพฤติกรรมคนดูทีวีที่หันมาเสพสื่อออนไลน์ มีผลให้การเลือกซื้อเวลาโฆษณาทีวีเวลานี้ นอกจากดูจากเรตติ้งหน้าจอทีวี ควบคู่ช่องทางออนไลน์แล้ว ยังต้องดูว่ารายการถูกพูดถึงหรือเป็นกระแสในโลกโซเชียลด้วยหรือไม่ เพราะยิ่งเป็นกระแสจะส่งผลให้คนไปดูทีวี หรือดูย้อนหลัง
ดังนั้นยิ่งการแข่งขันของทีวีดิจิทัลสูงมากขึ้นเท่าใด การที่ต้องให้เกิดกระแสในโลกออนไลน์ก็ยิ่งจำเป็นมากขึ้นเท่านั้น ทำให้หลายช่องทีวีเวลานี้จึงต้องมีทีมทำการตลาดออนไลน์โดยเฉพาะ
แน่นอนเรื่องของ “เรตติ้ง” และ “การตลาด” เป็นปัจจัยสำคัญในการวัดความสำเร็จของรายการ แต่ความสำเร็จที่ได้มานั้นควรอยู่บนพื้นฐานของ คำว่า “จริยธรรม” ด้วยหรือไม่? อันนี้คงต้องให้คุณผู้ชมเป็นคนตัดสิน…
ที่มา : mgronline.com/livelite/detail/9600000120701