เจาะยุทธศาสตร์ สมาร์ทโฟน 2017

ในช่วงปลายปีที่ผ่านมา ความเคลื่อนไหวในตลาดสมาร์ทโฟนระดับบนกลายเป็นตลาดที่มีความคึกคักมากที่สุด หลังจากทั้ง 3 แบรนด์ผู้นำในตลาดไม่ว่าจะเป็น Apple, Samsung และ Huawei ต่างส่งสมาร์ทโฟนรุ่นเด่นออกมาแข่งขันกันในช่วงปลายปีต่อเนื่องจนถึงปีหน้า

ทั้ง 3 รุ่นประกอบไปด้วย Apple iPhone X, Samsung Galaxy Note 8 และ Huawei Mate 10 Pro คลุมระดับราคาตั้งแต่ 27,900 บาท ไปจนถึง 46,500 บาท และการขยับราคาขึ้นมาเป็นระดับ 4 หมื่นบาทของ iPhone X ยิ่งเป็นการตอกย้ำภาพของสมาร์ทโฟนแบรนด์ Apple ที่มีผู้ใช้งานพร้อมจะจ่ายเงินซื้อเครื่อง

อย่างไรก็ตาม เมื่อมองถึงเทคโนโลยีที่ทั้ง 3 แบรนด์ใส่มาในเครื่องรุ่นนี้ ในเวลาไม่นาน จะกลายเป็นต้นแบบให้แก่สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ ๆ ที่จะทยอยออกมาในปีหน้า และปีต่อ ๆ ไป เมื่อเทคโนโลยีมีราคาถูกลง

Samsung Galaxy Note 8

***สแกนใบหน้า 3 มิติ สู่การใช้งานจริง

เริ่มกันจาก ไอโฟน สิบ (iPhone X) ถือเป็นต้นแบบของการนำเทคโนโลยีสแกนใบหน้ารุ่นใหม่มาใช้ในชื่อว่า True Depth ที่จะแตกต่างจากการสแกนใบหน้าในรูปแบบเดิม ๆ ที่ใช้กล้องธรรมดามาบันทึกภาพใบหน้า มาเป็นการสแกนใบหน้าในระบบ 3 มิติ ที่บันทึกโครงหน้าผู้ใช้แทน

รูปแบบในการสื่อสารที่ออกมาในช่วงแรกของแอปเปิล (Apple) คือ การนำมาใช้ในระบบรักษาความปลอดภัย เพราะเป็นสิ่งที่ผู้ใช้ควรตระหนักถึงมากที่สุด จึงนำ True Depth มาใช้ปลดล็อกเครื่องแทนการสแกนลายนิ้วมือ (Touch ID) พร้อมระบุว่าปลอดภัยกว่ากันเยอะ

แต่ในความเป็นจริง เทคโนโลยี True Depth ถือเป็นการปลดล็อกข้อจำกัดให้การใช้งานสมาร์ทโฟนสามารถควบคุมได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการนำกล้องมาจับภาพใบหน้าสร้างระยะชัดลึก ทำให้ถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอได้จากกล้องหน้า รวมถึงการแปลงใบหน้าเป็นภาพการ์ตูนเคลื่อนไหวต่าง ๆ

นอกจากนี้ เมื่อกลายเป็นเทคโนโลยีที่เปิดออกมาให้นักพัฒนานำระบบไปใช้ ก็จะเห็นหลายแอปพลิเคชันนำความสามารถไปใช้ อย่างในบางเกมที่ใช้ใบหน้าควบคุมแทนการสัมผัสหน้าจอ ไม่รวมกับแอปทางการเงิน หรือใช้ยืนยันตัวตนอีกหลายชนิดที่รับรองความปลอดภัยด้วย True Depth

Apple iPhone X

ทำให้เชื่อว่าในปีถัด ๆ ไป จะได้เห็นแอปเปิล และอีกหลายแบรนด์ นำรูปแบบของการสแกนใบหน้า 3 มิติ เหล่านี้ไปใช้ แน่นอนว่าไม่ใช่เฉพาะบนสมาร์ทโฟน แต่จะรวมถึงสมาร์ทดีไวซ์อื่น ๆ ในอนาคตด้วย

***ดีไซน์มีเอกลักษณ์ใช้งานได้จริง

ถัดมา ในส่วนของ กาแล็กซี โน้ต 8 (Galaxy Note 8) แม้ว่าทางซัมซุง (Samsung) จะไม่ได้แนะนำเทคโนโลยีใหม่เพิ่มเติม แต่ก็มีหลายสิ่งใหม่ที่เพิ่งนำมาใช้งานในรุ่นนี้ พร้อมกับเน้นการนำเทคโนโลยีที่พัฒนาจนสมบูรณ์แล้วมาใช้ จนทำให้กลายเป็นสมาร์ทโฟนที่ครบเครื่องรอบด้านแทน

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของดีไซน์จอไร้ขอบ (Infinite Display) ในสัดส่วน 18.5:9 ที่ทำให้พื้นที่ขีดเขียนด้วยปากกา S Pen ซึ่งเป็นจุดเด่นหลักของสินค้าในตระกูล Note ที่ถูกพัฒนาต่อเนื่อง เพิ่มมากขึ้น พร้อมกับขนาดตัวเครื่องที่ไม่กว้างเกินไปให้จับถือได้ถนัดมือ แม้ว่าจอจะใหญ่กว่าในรุ่นก่อนหน้า

ส่วนของกล้องคู่ Note 8 ก็ถือเป็นรุ่นแรกในตลาดที่ใส่ระบบกันสั่น (Dual OIS) มาให้ทั้งสองเลนส์ ช่วยให้การถ่ายวิดีโอได้นิ่งขึ้นแม้จะมีการซูมภาพเข้าไปก็ตาม และยังเป็นรุ่นแรกในตลาดที่นำระบบ Dual Capture มาใช้ ที่เวลาถ่ายภาพเลนส์ซูม ก็จะจับภาพมุมกว้างไว้ด้วย เพื่อเลือกดูบรรยากาศภาพในขณะที่บันทึกไว้

ขณะเดียวกัน Note 8 ยังเข้ามาปลดล็อกหลาย ๆ อย่างในคอนเซ็ปต์ของ Phone+ ที่ทำให้สมาร์ทโฟนมาช่วยเปิดโลก อย่างการเชื่อมต่อกับ Samsung DEX ให้มือถือต่อออกจอเป็นคอมพิวเตอร์เพื่อใช้งาน ร่วมกับเมาส์ และคีย์บอร์ดได้

ยังไม่นับรวม Bixby ผู้ช่วยอัจฉริยะของทาง Samsung ที่กำลังพัฒนาขึ้นแข่งกับ Siri ทั้งยังเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อย่าง Gear VR และ Gear 360 ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่เริ่มมีคอนเทนต์มาให้ใช้งานกัน และจะทยอยเพิ่มขึ้นอีกในปีหน้า

จะเห็นได้ว่า เทคโนโลยีต่าง ๆ ที่ใส่มาใน Note 8 หลาย ๆ อย่าง Samsung เริ่มนำไปใช้กับสมาร์ทโฟนรุ่นรอง ๆ ลงมาแล้ว แต่ในปีหน้าก็จะทยอยใส่เพิ่มเข้าไปอีก เพื่อเป็นทางเลือกให้แก่ผู้บริโภคที่งบประมาณจำกัด

Apple iPhone X

***ประสิทธิภาพในราคาจับต้องได้

สุดท้าย หัวเว่ย เมด สิบ โปร (Huawei Mate 10 Pro) จุดเด่นหลักที่หัวเว่ย พยามชูออกมาให้ผู้บริโภคเห็นในเครื่องรุ่นนี้ คือ การเคลมว่าเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกที่มีหน่วยประมวลผลสำหรับ AI แยกออกมาต่างหาก แต่กลับกลายเป็นจุดที่สื่อไปยังกลุ่มผู้ใช้ทั่วไปได้ค่อนข้างยาก และยังไม่แสดงความสามารถที่ชัดเจนออกมาให้เห็น

กลับกันจุดเด่นที่แท้จริงจากประสบการณ์ของหัวเว่ยทางด้านสถาปัตยกรรมเกี่ยวกับเครือข่าย ทำให้ Mate 10 Pro กลายเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกที่รับ 4G ทั้ง 2 ซิมการ์ด แถมยังรองรับ Gigabit Network ในระดับ 1.2 Gbps ซึ่งแซงชนะ Snapdragon 835 ที่ทำได้ 1 Gbps ทำให้กลายเป็นสมาร์ทโฟนที่รับสัญญาณ 4G ได้เร็วที่สุดในตลาด

ส่วนเรื่องของกล้อง Leica ที่ต่อเนื่องมาก็จะใช้แนวทางเพิ่มประสิทธิภาพ และนำ AI มาช่วยให้กล้องฉลาดขึ้น ถ่ายภาพหลังเบลอได้เนียนขึ้นมากกว่า แต่ไม่ได้ทำให้รู้สึกต่างจากเดิมมากขึ้น ประกอบกับดีไซน์ของ Mate 10 Pro ออกจะเหมาะกับผู้ชายมากกว่าจากรูปลักษณ์ที่ออกมาแข็ง ๆ

Huawei Mate 10 Pro
Huawei Mate 10 Pro

แต่ที่น่าสนใจ คือ Desktop Mode ของ Mate 10 Pro ที่สร้างความต่างจาก Samsung DEX คือไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์เสริมเฉพาะ แต่สามารถใช้อุปกรณ์แปลง USB-C ทั่วไปในท้องตลาดมาเชื่อมต่อกับโทรทัศน์ หรือจอภาพ เพื่อใช้งานได้ทันที ทำให้ค่อนข้างสะดวกในการใช้งานมากกว่า

ดังนั้น สมาร์ทโฟนรุ่นต่อ ๆ ไปของหัวเว่ย ก็จะดึงความสามารถเหล่านี้ของ Mate 10 Pro ไปใช้ โดยเฉพาะในรุ่นตระกูล P ซีรีส์ ที่จะออกทำตลาดในช่วงต้นปีหน้า แต่จะปรับเปลี่ยนที่ดีไซน์ให้ดูแฟชั่นมากขึ้น เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มผู้ใช้ในวงกว้าง

***แบรนด์รอง ๆ ก็มีเทคโนโลยี

แน่นอนว่าในตลาดสมาร์ทโฟนปีที่ผ่านมา ไม่ได้มีแค่ 3 แบรนด์นี้ที่ขนเทคโนโลยีออกมาชนกัน แต่ยังมีแบรนด์รองอย่าง Xiaomi หลังจากที่ขยับสู่การทำตลาดในระดับโลกมากขึ้น จนเบียดขึ้นมาเทียบชั้นกับ Samsung ในตลาดอินเดียได้ ก็เป็นอีกแบรนด์ที่มีสมาร์ทโฟนรุ่นที่น่าสนใจออกมา

MI MIX 2

นั่นก็คือ Xiaomi Mi Mix 2 ที่เป็นรุ่นต่อเนื่องจาก Mi Mix รุ่นแรกที่เป็นสมาร์ทโฟนที่มากับจอไร้ขอบ และเคลมว่า Xiaomi นี่ล่ะ คือ ผู้ที่ทำให้กูเกิล (Google) เปลี่ยนมาตรฐานการรองรับขนาดหน้าจอจาก 4:3 ให้กลายมาเป็น 18:9 เพื่อให้สามารถผลิตสมาร์ทโฟนที่มีขนาดจอใหญ่ขึ้น ในขนาดตัวเครื่องที่ใกล้เคียงเดิม

ที่สำคัญ คือ จากนโยบายหลักในการทำตลาดของ Xiaomi ที่เน้นการจำหน่ายสมาร์ทโฟนสเปกดี ราคาจับต้องได้ ทำให้กลายเป็นอีกแบรนด์หนึ่งที่น่าจับตาในตลาดไทย ที่ตามหลัง Oppo และ vivo ที่เข้ามาสร้างสีสันให้กับสมาร์ทโฟนระดับกลางจากการชูจุดเด่นในเรื่องของกล้องหน้าสำหรับการเซลฟีจนได้รับความนิยมไปทั่วประเทศ

***ถ่ายวิดีโอ Sony ยังกินขาด

มองกลับมาที่แบรนด์ในตำนานอย่าง Sony แม้ว่าในปีนี้จะเงียบ ๆ ไปบ้างกับตลาดสมาร์ทโฟน แต่สิ่งที่ต้องยอมรับในคุณภาพของ Sony เลยคงหนีไม่พ้นเรื่องการบันทึกภาพวิดีโอบนสมาร์ทโฟนจากผลิตภัณฑ์ในตระกูล Xperia XZ Premium และ XZ 1 ที่มากับ Motion Eye Camera

ทั้งในแง่ของการบันทึกวิดีโอ 4K HDR ที่สามารถใช้ถ่ายต่อเนื่องได้นานขึ้น การมีระบบป้องกันภาพสั่นไหวมาให้ ทำให้การบันทึกวิดีโอบนสมาร์ทโฟนลื่นไหล รวมถึงจุดเด่นในรุ่นก่อนหน้าอย่างการถ่าย Super Slow Motion ที่ 960 fps ก็ยังไม่มีแบรนด์ใดมาทำลายสถิติได้ในปีนี้

***รุ่นระดับกลางก็ไม่น้อยหน้า

สุดท้ายแล้วเทคโนโลยีที่เหล่าผู้ผลิตใส่มาให้ได้สัมผัสกันในเครื่องระดับไฮเอนด์ ก็จะทยอยเข้าถึงกลุ่มผู้ใช้งานในวงกว้างมากขึ้น ดังที่เห็นจากในปีนี้ว่า จอในสัดส่วน 18:9 ที่เพิ่งมาในช่วงต้นปี ก็มาอยู่ในสมาร์ทโฟนราคาไม่ถึงหมื่นบาท หรือจะเทรนด์ของกล้องคู่ที่ทุกแบรนด์ต่างนำไปใช้งานกัน

เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบคุณภาพกันแล้ว ก็จะขึ้นอยู่กับราคาที่จ่ายไป กล้องคู่ของสมาร์ทโฟนระดับต่ำกว่าหมื่นบาท หรือช่วงราคาหมื่นต้น ๆ ก็คงถ่ายภาพได้ไม่เท่าเครื่องในระดับไฮเอนด์ ทั้งนี้ ทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับความจำเป็น และงบประมาณ ที่ควรเลือกใช้ให้เหมาะสมกับการใช้งานจะดีที่สุด.

แยกส่วนสมาร์ทโฟน Sony

ที่มา : mgronline.com/cyberbiz/detail/9600000130908