เข้าแถวจับมือ BNK48 ล้นห้าง กับปรากฏการณ์ Giant Phenomena Marketing

ภาพของบรรดาแฟนคลับ หรือ โอตะ มาเข้าแถวรอกันแบบข้ามวันข้ามคืน จับมือกับ BNK48 ในงาน Handshake Campus CARD จนล้นห้างเดอะมอลล์บางกะปิ เป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางการสร้างไอดอลคอนเทนต์ ที่ฉีกทุกกฎให้กับธุรกิจเพลงและอุตสาหกรรมบันเทิง แบบที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน

ความน่าตื่นเต้นของวง BNK48 ต่ออุตสาหกรรมบันเทิงในไทย คือการเกิดซ้ำรอบแล้วรอบเล่าของความสำเร็จของ AKB48 ที่มีต้นกำเนิดในอะกิฮาบาระ ประเทศญี่ปุ่น ในรูปของวงเกิร์ลกรุ๊ปรูปแบบใหม่ เพื่อตั้งใจปั้นขึ้นมาเป็นไอดอลตั้งแต่เริ่มต้น ด้วยแนวคิดไอดอลที่แฟนคลับพบเจอได้เสมอ (Idols that you can meet) ซึ่งเป็นโมเดลธุรกิจในอุตสาหกรรมบันเทิงรูปแบบใหม่ที่ผู้ก่อตั้ง อิกิโมโต ยาสุชิ (Akimoto Yasushi) คิดขึ้นอย่างพิถีพิถัน และพิสูจน์ความสำเร็จแล้วว่า โมเดลนี้ไม่เพียงทำให้เขาขายซีดีเพลงของวงเกิร์ลกรุ๊ป หรือที่เขาเรียกว่า กลุ่มไอดอล กลุ่มนี้ได้เท่านั้น แต่ยังทำให้เรื่องราวของไอดอลสาว ๆ กลุ่มใหญ่ที่เขาปั้นขึ้นมานี้ กลายเป็น ไอดอลคอนเทนต์ ที่ทำรายได้แบบฉีกทุกกฎให้กับธุรกิจเพลงและอุตสาหกรรมบันเทิง

ความสำเร็จของ 48 กรุ๊ป (48 Group) เป็นโมเดลการตลาดที่จับช่องทางหารายได้จากบรรดาแฟนคลับที่ชื่นชอบไอดอลและกิจกรรมที่พวกเขาต้องการจากไอดอลที่ชอบ ซึ่งมีอยู่ให้เห็นทั้งแบบเปิดและซ่อนอยู่ในกลุ่มแฟนที่ชื่นชอบ ทุกยุคสมัยในแบบ Unmet Need

โดยนำความต้องการเหล่านั้นมาตอบสนองกลุ่มแฟนคลับให้เป็นจริงด้วยการจัดกิจกรรมที่จะให้แฟนคลับได้มีปฏิสัมพันธ์กับไอดอลง่ายขึ้น ผ่านการจัดแพ็กเก็จแฟนเซอร์วิสขายพร้อมไปกับซีดี ซึ่งส่งผลให้ซีดีพวกเธอมียอดขายดีอย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นต้นทางผ่านกระจายไปสู่กิจกรรมอื่น ๆ และทำให้คอนเทนต์ของกลุ่มไอดอลที่เขาสร้างขึ้นแพร่กระจายไปยังกลุ่มผู้ชมและสร้างแฟนคลับกลุ่มใหม่อย่างต่อเนื่อง

ผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจเพลงของญี่ปุ่น ถึงกับเรียกปรากฏการณ์ที่ อิกิโมโต ยาสุชิ หรือที่คนญี่ปุ่นเรียกว่า “อากิพี” (ย่อมาจาก Akimoto Producer) ทำให้เกิดขึ้นกับ 48 กรุ๊ป ว่าเป็น Giant Phenomena Marketing เพราะสิ่งที่พวกเขาทำไม่ใช่แค่เรื่องความสำเร็จของการขายซีดีหรือปรากฏการณ์ในธุรกิจเพลงหรืออุตสาหกรรมบันเทิงเท่านั้น แต่ทั้งหมดคือโมเดลธุรกิจที่ทำให้นักการตลาดและคนทั่วโลกต้องหันมาค้นหาและถอดความสำเร็จของ 48 กรุ๊ป อย่างจริงจัง

AKB48 จุดเริ่มต้นและการระบาดเข้าไทย 

BNK48 คือบทสำเร็จของการทำซ้ำในสูตรเดิมจาก AKB48 ต้นตำรับ ที่เริ่มต้นขึ้นเมื่อปี 2005 ภายใต้แนวทางการใช้นวัตกรรมการตลาดตั้งแต่ต้น เพราะแทนที่จะปั้นนักร้องหรือศิลปินอาชีพ ก็เปลี่ยนมาเป็นให้สมาชิกในวงทำให้เหมือนเป็นการแข่งขันกันอยู่ตลอดเวลา เพื่อพัฒนาฝีมือและความน่าสนใจติดตามให้กับกลุ่มแฟนคลับ ทำให้เกิดเรื่องราวความน่าตื่นเต้นสดใหม่เสมอเหมือนการติดตามดูการแข่งขันของมือสมัครเล่นที่แท้จริง

จากนั้นให้กลุ่มแฟนคลับมีส่วนร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างไอดอลด้วยการดีไซน์การตลาดอย่างพิถีพิถัน เช่น ให้แฟนคลับมีสิทธิ์ร่วมโหวต ร่วมคัดเลือก ร่วมตัดสิน ด้วยกลยุทธ์การตลาดที่ทำรายได้ให้กับวงไปในตัว

ที่สำคัญเป็นส่วนหนึ่งของการกระจายคอนเทนต์ของกลุ่มไอดอลให้เป็นที่รู้จักกว้างขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผ่านแฟนคลับผู้คลั่งไคล้ เป็นผลให้คอนเทนต์ของไอดอลถูกสื่อออกไปเหมือนจริง และได้รับความน่าสนใจมากขึ้นจากกลุ่มแฟนคลับด้วยกันเอง และฐานผู้ติดตามกลุ่มใหม่ ๆ ที่จะเข้ามา

อากิพี ทำให้ 48 กรุ๊ปแตกต่างจาก k-Pop ที่เกิดขึ้นในยุคเดียวกัน โดยเน้นทำตลาด AKB48 วงแรกสำหรับตลาดในญี่ปุ่นเท่านั้น ต่างจากวงเกิร์ล เจนเนอเรชั่นของเกาหลีที่เกิดขึ้นในยุคเดียวกัน ที่เกิดมาปุ๊บก็มุ่งที่จะให้เป็นเกิร์ลกรุ๊ปที่บุกตลาดต่างประเทศไปพร้อม ๆ กับในเกาหลี จึงเน้นคัดเลือกเด็กที่พูดได้หลายภาษา มีความสามารถทั้งร้องทั้งเต้น และทุ่มงบประมาณ เวลาเพื่อฝึกสมาชิกเพื่อสร้างวงอย่างจริงจัง เป็นกลยุทธ์การตลาดที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน

การค้นหานวัตกรรมเพื่อสร้างกลุ่มไอดอลของอากิพี ในตอนแรก เกิดขึ้นเพื่อต่อสู้ให้อุตสาหกรรมบันเทิงมีทางรอดจากการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีที่เข้ามาสร้างผลกระทบขนาดใหญ่ ทำให้ธุรกิจเพลงตกต่ำ

จุดเริ่มต้นของ AKB48 จึงพูดได้ว่า เกิดขึ้นเพื่อหาทางแก้ปัญหาความตกต่ำของวงการเพลงจากการขายเพลงในรูปแบบเดิม และหาสินค้าที่มีจุดขายใหม่ขึ้นมาแทน

สิ่งที่พวกเขาทำได้ผลดี จนดูเหมือนว่า AKB48 จะประสบความสำเร็จยิ่งกว่าการขายแผ่นซีดีในยุคเก่าเสียอีก

จากนั้นมา แทนที่อากิพีจะคิดว่าจะต้องส่งเพลงจาก AKB48 ไปขายในประเทศต่าง ๆ นอกญี่ปุ่น ต้นสังกัดก็หันมาคิดการใหญ่ด้านการตลาด และเลือกที่จะส่งโมเดลธุรกิจเป็นสินค้าออกแทน นับเป็นโมเดลการผลิตสินค้ารูปแบบใหม่

นอกจากในเมืองต่าง ๆ ของญี่ปุ่น วง SKE48 ย่านซากาเอะ ในจังหวัดไอจิ วง NMB48 ย่านนัมบะ ในโอซากา วง HKT48 ย่านฮาคาตะ ฟุคุโอกะ 48 กรุ๊ปยังแจ้งเกิดในประเทศในเอเชีย อย่าง JKT48 ในจาการ์ตา อินโดนีเซีย วง SNH48 เซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน และปี 2017 ที่ผ่านมา ก็มาสร้างปรากฏการณ์ด้านการตลาดใหญ่ให้กับเมืองไทยจาก BNK48 ในกรุงเทพฯ บ้านเรา

ลองนึกดูนะว่า การสร้างไอดอลจากคนท้องถิ่น มีนัยสำคัญอะไรทางการตลาด ถ้าไม่ใช่การเพิ่มความผูกพันที่แนบแน่นยิ่งขึ้นระหว่างไอดอลรุ่นใหม่ที่จะถูกสร้างขึ้นมากับตลาดในท้องถิ่นนั้น ๆ และการเชื่อมโยงเป็นเครือข่ายกับต้นกำเนิดในญี่ปุ่น ซึ่งรู้กันดีอยู่แล้วว่า ความเป็นญี่ปุ่นได้รับความนิยมแค่ไหนในเอเชีย

ตัวเลข 48 ซึ่งเดิมว่ากันว่า มาจากจำนวนสมาชิกเริ่มต้น แต่ตอนหลังแฟนคลับส่วนใหญ่ยืนยันว่าไม่ใช่ที่มาที่แท้จริง โดยเชื่อว่าแท้จริงแล้วมาจากตัวเลขในชื่อบริษัท office48 ของอากิพี และใช้เป็นตัวเลขต่อท้ายวงในเมืองต่าง ๆ สุดท้ายเป็นที่มาที่ทำให้ไอดอลในเครือข่ายของอากิพี ที่ถูกเรียกรวม ๆ ว่า 48 กรุ๊ป

48 Group ไอดอลสายพันธุ์ใหม่

ในสังคมและวงการบันเทิงของญี่ปุ่น 48 กรุ๊ป ถูกมองว่าเป็นกลุ่มไอดอลสาวที่มีความสดใหม่เสมอและได้รับความนิยมสูงต่อเนื่อง

ความหมายการเป็นไอดอลของพวกเธอ แตกต่างจากเกิร์ลกรุ๊ปต่าง ๆ ที่เคยมี เป็นความหมายของไอดอลในแบบเฉพาะของวัฒนธรรมกระแสรองของเจป็อป (J-Pop) ที่เอวัฒนธรรมความน่ารัก หรือ คาวาอิคัลเจอร์ (Kawaii Culture) แบบญี่ปุ่นที่แพร่ขยายเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกมาใส่ไว้ในตัวไอดอลแต่ละคน และใช้เป็นจุดขายที่แสดงออกมาตั้งแต่บุคลิก ท่าทาง ทั้งการพูด การหัวเราะ การแสดงออกเพื่อสื่ออารมณ์ต่าง ๆ เช่น การจับมือ การมองตาแฟนคลับ การเขินอาย ทำท่าน่ารัก หัวเราะ ฯลฯ

การร้อง การเต้น ซึ่งเป็นจังหวะที่ฟังดูเหมือนเป็นเพลงเดียวกัน เสียงร้องสูง ๆ ต่ำ ๆ สไตล์ญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็นเสียงร้องในภาษาอะไร ท่าเต้นง่าย ๆ เน้นความพร้อมเพรียง และโดยเฉพาะจุดขายจากชุดยูนิฟอร์มที่พวกเธอใส่แสดงเหมือน ๆ กัน ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในชุดครอสเพลย์ที่นิยมในปัจจุบันไปแล้วเช่นกัน

48 กรุ๊ป จะคัดเลือกสาว ๆ ตั้งแต่อายุ 13-20 ปลาย ๆ มาฝึกเพื่อเป็นแบบอย่างให้คนสนใจและอยากมีบุคลิกหรือลักษณะแบบที่พวกเธอเป็น ผ่านการฝึกให้แสดงออกด้วยความสดใส น่ารัก เสมอเพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับผู้อื่น

ความสดใหม่ของพวกเธอ มาจากระบบของวง ที่จัดระบบให้มีการเข้าออกของสมาชิกอยู่ตลอด มีการคัดคนหรือออดิชั่นสมาชิกแต่ละรุ่นผ่านการรับสมัครเป็นช่วง ๆ

สมาชิกที่เข้ามาแล้วก็มีระบบการเลื่อนขั้น จากเด็กฝึกหัด (เคนเคียวเซ-Kenkyosei) เข้าสู่ทีมต่างๆ มีการลาออกจากวง ที่เรียกว่าจบการศึกษา เหมือนล่าสุดที่ แจน BNK48 เลือกจบการศึกษาเพราะได้งานที่ญี่ปุ่น

ระบบเหล่านี้เป็นเรื่องภายในวง แต่เป็นคอนเทนต์ของกลุ่มไอดอลที่ให้กลุ่มแฟนคลับติดตามและตามติดอย่างใกล้ชิด เพราะแฟนคลับเป็นส่วนสำคัญที่จะมีส่วนร่วมในการคัดเลือกต่าง ๆ ผ่านกิจกรรมที่วงจะจัดขึ้นเป็นระยะ

48 Group ปรับเปลี่ยนแม้กระทั่งการสร้างวัฒนธรรมแฟนคลับ

48 กรุ๊ป ยังสร้างความน่าสนใจทางธุรกิจให้กับกลุ่มแฟนคลับ ที่ถูกหลอมด้วยวัฒนธรรมญี่ปุ่นไปด้วย เพราะกลุ่มแฟนคลับของพวกเธอ ซึ่งได้รับการยืนยันด้วยสายตาผ่านกิจกรรม เอ็มวี รวมทั้งจากนักวิเคราะห์ในธุรกิจเพลงทั้งในญี่ปุ่นและต่างประเทศยืนยันว่า 95% ของแฟนคลับตัวจริงของ 48 กรุ๊ป คือกลุ่มผู้ชาย ซึ่งมีตั้งแต่วัยรุ่น คนทำงาน ไปจนถึงวัยกลางคน ขณะที่กลุ่มที่มองพวกเธอเป็นไอดอลจริง ๆ อาจจะเป็นสาว ๆ ที่ฝันอยากจะเป็นสมาชิกของวงในวันหนึ่งข้างหน้าที่อาจจะดูเหมือนมาก แต่แท้จริงเป็นคนกลุ่มน้อยไปเลย

เอกลักษณ์ที่สะท้อนวัฒนธรรมในการบริโภคประจำกลุ่มที่โดดเด่นของแฟนคลับ 48 กรุ๊ป ที่รับเอาวัฒนธรรมจากญี่ปุ่นไปเต็ม ๆ ไม่ต้องมองอื่นไกลแม้กระทั่งแฟนคลับของ BNK48 ในไทยก็เห็นได้ชัด เช่น โวตาเกะ (Mix) หรือการเชียร์ที่มีคำพูด การใช้เสียง และรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์ประจำ ถ้านึกดี ๆ จะเห็นรูปแบบนี้ในคอนเสิร์ตญี่ปุ่นโดยเฉพาะถ้าเป็นเพลงการ์ตูนด้วยแล้วยิ่งชัด อย่างการถือแท่งไฟสะท้อนแสงโบกพร้อม ๆ กัน หรือหมุนเป็นวงเหนือหัว หรือแล้วแต่กลุ่มจะคิดเพราะมีหลายวิธีและหลายระดับ ตั้งแต่การใช้รูปแบบเดียวกับกับวงทั่วไปหรือคิดขึ้นมาเฉพาะในกลุ่ม

การร่วมกิจกรรมงานเลือกตั้งของผู้ถูกเลือก หรือ เซ็มบาสึ โซเซนเคียว อีเล็กชั่น – Senbatsu Sosenkyo Election ซึ่งเป็นการโหวตอันดับความนิยมของไอดอลในกลุ่มจากบรรดาแฟนคลับ หรือ โอตะ ผ่านช่องทางต่าง ๆ รวม 64 อันดับ แน่นอนทุกงาน ต้องมีบัตรผ่านที่แฟนคลับต้องควักกระเป๋าซื้อซีดี 1 แผ่น เพื่อให้ได้บัตรร่วมโหวต 1 ใบ ยอดโหวตแต่ละปีไม่เคยตก ซึ่งสะท้อนความนิยมที่เพิ่มขึ้นของวงและฐานแฟนคลับที่ขยายใหญ่ขึ้น เพราะแฟนคลับบางรายถึงขั้นทุ่มซื้อเพื่อหวังให้ไอดอลคนโปรดได้เป็นตัวจริง

ไอดอลที่ถูกเลือก หรือ เซ็มบัตสึ-Senbatsu 16 อันดับแรกจะได้เป็นตัวจริงในการแสดงหลักของซิงเกิลในนามของวงที่จะมีขึ้นหลังการเลือกตั้ง

ปี 2016 ที่ผ่านมา ซิงเกิลที่แถมบัตรโหวตทำยอดขายสูงมากกว่า 1.6 ล้านแผ่น จากคะแนนโหวตกว่า 2.1 ล้านโหวต ตีเป็นมูลค่าจากบัตรโหวตแล้วคิดเป็นเงินไทยกว่า 819 ล้านบาท

โอตา(คุ) ลูกค้าที่แท้ทรู ทุ่มไม่อั้นยิ่งกว่าสาวก

โอตาคุ คือศัพท์จากวัฒนธรรมญี่ปุ่น คือคนที่หลงใหลคลั่งไคล้อะไรแล้วทุ่มเทให้ความสนใจต่อสิ่งนั้นอย่างเดียวจนกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญ หรือบ้าคลั่งในสายตาคนนอก เป็นวัฒนธรรมญี่ปุ่นอีกอย่างที่ถูกนำมาใช้กับ 48 กรุ๊ป ในการใช้เรียกแฟนคลับว่า โอตะ ซึ่งเป็นยิ่งกว่าสาวกที่บรรดาแบรนด์ทั้งหลายต้องการ เพราะคนกลุ่มนี้ไม่ใช่แค่ติดตามข่าวสาร แต่พร้อมจะทุ่มเพื่อเป็นส่วนสำคัญของแบรนด์และเป็นตัวทำรายได้ให้กับแบรนด์อย่างแท้จริง

อะไรที่ทำให้แฟนคลับ 48 กรุ๊ป รวมถึง BNK48 ยอมควักเงินซื้อซิงเกิลในราคา 600 บาท หรือมากกว่า และบางยอมจ่ายมากกว่าสำหรับซิงเกิลเดียวกัน ก็เพราะช่องทางการสั่งซื้อมีจำกัด ยิ่งถ้าต้องการซิงเกิลจากวง AKB48 ที่ต้องสั่งจากต่างประเทศที่ไม่มีขายในไทย   

ในเมืองไทย กลุ่มแฟนคลับ 48 กรุ๊ป มีทั้งระดับกลุ่มคือมีความสัมพันธ์กับสมาชิกคนอื่น ๆ เพื่อสร้างความสำเร็จร่วมกัน และที่เป็นแฟน หรือคนที่ที่ชื่นชมและหลงใหล โดยกลุ่มแฟนคลับอยู่ในช่วงวัยรุ่นและวัยทำงาน ฐานของกลุ่มแฟนคลับเริ่มจากหลักไม่กี่พันเติบโตขึ้นเป็นหลักหมื่นในช่วงเวลาไม่ถึงปี

ในงานมีตติ้งเวลาจัดกิจกรรมจะมีแฟน ๆ และและกลุ่มวงโคฟเวอร์ไปรวมตัวกันครั้งละประมาณ 500 คน ทั้งในกรุงเทพฯ และจังหวัดต่าง ๆ มีเว็บ 48.in.th เป็นแหล่งสนทนา นัดหมาย รวมตัว มีทั้งห้องแชต บล็อก และฟอรั่มมาร์เก็ต ซึ่งผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับ BNK48 และ 48 กรุ๊ป จัดเป็นสินค้าที่มีความต้องการสูง แม้กระทั่งรูปถ่ายของไอดอลคนเดียวบางคนสามารถทำราคาได้สูงถึงหลักหมื่น

ทั้งนี้เพราะ 48 กรุ๊ปมีกฎชัดเจนที่ไม่ให้สมาชิกถ่ายรูปเซลฟี่กับแฟนและไม่อนุญาตให้แฟน ๆ ถ่ายรูป ภาพถ่ายของพวกเธอจึงกลายเป็นของหายาก และทุกคนก็อยากได้ของแท้จากต้นสังกัดพร้อมลายเซ็น

กลุ่มแฟนคลับของ BKN48 จะรับเอาวัฒนธรรมที่เกิดขึ้นในญี่ปุ่นมาใช้ เช่น งานจัดมีตติ้งกันในกลุ่ม ก็จะมีกิจกรรมตั้งแต่การแลกเปลี่ยนรูป จัดมินิคอนเสิร์ตของกลุ่มเต้นโคฟเวอร์ จำลองบรรยากาศแสดงสดใน Theater ซึ่งถือเป็นเหมือนสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของ 48 กรุ๊ป เพราะจุดเริ่มต้นเรื่องราวความสำเร็จของแบรนด์ และเป็นสถานที่ที่ทำความรู้จักและ ใกล้ชิดกับแฟนคลับมากที่สุด

โมเดล 48 Group สร้างอะไรใหม่ในอุตสาหกรรมบันเทิง

ถ้าจะให้ทุกคนตอบด้วยตัวเอง ก็คงต้องให้แต่ละคนเปิดใจฟังเพลงของพวกเธอดูก่อนสักเพลง ถ้าเลือกไม่ถูกขอแนะนำเพลง คุกกี้เสี่ยงทาย” ก็แล้วกัน เพลงทำนองเดียวที่มีทุกภาษาที่ 48 กรุ๊ป เข้าไปขยายตัวเปิดแฟรนไชส์วงน้องสาว เพื่อจะได้ลงความเห็นได้ถูกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะ AKB48 และ BNK48 เป็นการสร้างปรากฏการณ์ในอุตสาหกรรบันเทิงยุคนี้จริงหรือไม่

ตอนนี้โมเดลของ 48 กรุ๊ป กลายเป็นสูตรการตลาดที่ถูกมองว่า เป็นความสำเร็จของธุรกิจบันเทิงของโลก ซึ่งหลังจากประสบความสำเร็จจากการขยายโมเดลไปในประเทศต่าง ๆ ในเอเชีย อากิพียังมีแผนที่จะเอาโมเดลนี้ไปสร้างตลาดในยุโรปและอเมริกาในอนาคตด้วย

AKB48 ในยุคแรก ๆ ที่คนในญี่ปุ่นเวลาได้ยินชื่อวงแล้วมักจะมีคำถามว่า “ทำไมเป็นวงที่มีสมาชิกเยอะจัง” “แยกไม่ออกเลยว่าใครเป็นใคร” “พวกเธอใส่ชุดเหมือนกันเลย” หรือแม้กระทั่ง “ในมิวสิกวิดีโอพวกเธอดูเด็กมากจนไม่รู้ว่าร้องหรือเต้นเป็นหรือเปล่า” ฯลฯ หายไปอีกด้วย เพราะผู้ชมเริ่มรับรู้องค์ประกอบทั้งหมดภายใต้แบรนด์ที่มีโมเดลการสร้างไอดอลที่ชัดเจน และกลายเป็นกลไกการตลาดสำคัญของการสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่งนั่นเอง

อีกทั้งหลังจากที่ AKB48 เดบิวท์ ก็สร้างความประหลาดใจจากความสำเร็จที่พวกเธอทำได้ จนปัจจุบันคนญี่ปุ่นก็แถบจะลืมนักร้องไอดอลยุคที่ผ่านมาไปหมดแล้ว

เฉพาะในช่วงปี 2013 ที่เริ่มประสบความสำเร็จมาก ๆ AKB48 มียอดขายซีดีมากกว่า 79 ล้านเหรียญสหรัฐ 53 ล้านเหรียญสหรัฐจากดีวีดีและบลูเรย์ดิสก์ และได้รับการตอบรับจากแฟน ๆ อย่างล้นหลามเมื่อเปิดการแสดงคอนเสิร์ตที่โตเกียวโดมโดยขายตั๋วได้หมดจากความจุของเวทีที่สามารถจุคนได้ถึง 70,000 คน

ความสำเร็จของ AKB48 ยังยืนยันได้จากปรากฏการณ์ของธุรกิจเพลงในญี่ปุ่น ที่เมื่อพวกเธอประสบความสำเร็จแล้ว ทำให้เกิดกลุ่มไอดอลในญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว มีวงต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมายเกือบ 1,000 วง เพราะ AKB48 กลายเป็นสินค้าขายดีที่ใครก็อยากก๊อบปี้ออกมาทำตลาด

ไอดอลกรุ๊ป ทั้งผู้หญิงและผู้ชายสร้างมูลค่าในธุรกิจเพลงญี่ปุ่นให้เติบโตขึ้นเกือบ 800 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2013 ซึ่งเป็นกราฟรายได้ของธุรกิจที่ปักหัวลงให้กลับมาเชิดขึ้น ด้วยอัตราการเติบโตประมาณ 10% และทำให้ธุรกิจเพลงรวมถึงบันเทิงในญี่ปุ่นต้องปรับตัวไปตามเทรนด์ของความสำเร็จที่เกิดขึ้นนี้

ไอดอลบิสซิเนสภายใต้แบรนด์ 48 กรุ๊ป เป็นโมเดลที่ช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับซีดีที่เรียกได้ว่าหมดอายุไปแล้วในตลาดเพลงให้ยังคงมีการผลิตและเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคมากขึ้น เพราะหลังจากอุตสาหกรรมเพลงตกลงอย่างหนักในช่วงปี 2010 แต่ยอดขายซีดีเพลงในญี่ปุ่นซึ่งโดยมากมาจากผลงานวง AKB48 ทำให้ยอดขายซีดีในญี่ปุ่นเติบโตแซงหน้าอเมริกัน ทั้งซิงเกิล อัลบั้ม ดีวีดี และบลูเรย์ดิสก์ โดยทำรายได้ถึง 4,100 ล้านเหรียญสหรัฐ และอีก 2 ปีต่อมาอุตสาหกรรมเพลงญี่ปุ่นทำรายได้แซงหน้าอเมริกาซึ่งรวมถึงยอดดาวน์โหลดเพลงด้วย โดยทำรายได้ได้ถึง 4,300 ล้านเหรียญสหรัฐ

80% ของยอดขายเพลงทั้งหมดมาจากการขายในซีดีในรูปแบบแพ็กเก็จ (ซีดีพร้อมบัตรร่วมกิจกรรมต่างๆ) และ 80% ของยอดขายซีดีเดี่ยวมาจากกลุ่มไอดอลชายและหญิง

พูดให้ชัดลงไปอีกก็คือ กลุ่มไอดอลกลายเป็นตัวสร้างรายได้หลักให้กับตลาดเพลงญี่ปุ่นในปัจจุบันและกำลังลามไปทั่วเอเชียรวมทั้งในไทย

ขณะที่รายได้การขายเพลงในฝั่งอเมริกาและตะวันตกหลัก ๆ ยังมาจากยอดดาวน์โหลดผ่านไอจูนและเอ็มพี 3 พร้อมกับความจริงที่ว่า ยอดขายเพลงแบบแพ็กเก็จผ่านซีดีในญี่ปุ่น ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง มิหนำซ้ำยังสามารถขยายธุรกิจออกไปภายใต้โมเดลเดียวกันในรูปแบบแฟรนไชส์ไปทั่วเอเชียอย่างรวดเร็วอย่างที่เราเห็นกันอยู่ตอนนี้

แน่นอนว่า เบื้องหลังยอดขายและกลุ่มแฟนคลับที่เกิดขึ้นจำนวนมากของไอดอลเหล่านี้ เป็นส่วนหนึ่งของรูปแบบธุรกิจและแผนการตลาดที่วางแผนไว้อย่างพิถีพิถัน 

สแกนแผนการตลาด 48 กรุ๊ป

แผนการตลาดของแบรนด์เริ่มจาก สร้างแพ็กเก็จที่นำไปสู่บริการจริงเพื่อกระตุ้นการซื้อสินค้าหลายรายการ เช่น ได้สิทธิ์หลากหลายเมื่อซื้อซีดี อาทิ ตั๋วร่วมกิจกรรมจับมือกับไอดอล ชมการแสดงสด ลายเซ็น หรือแม้แต่โอกาสในการถ่ายรูป ซึ่งทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่แฟนคลับไม่น้อยยอมซื้อซีดีเพื่อให้ได้สิทธิพิเศษเหล่านี้ที่มากขึ้น ตัวอย่าง ซีดีหนึ่งแผ่นมีตั๋วงานจับมือได้ 3 วินาที ถ้าซื้อ 5 แผ่นก็จะได้สิทธิ์จับมือนานขึ้น

ซีดีที่แฟนคลับซื้อซ้ำไม่ใช่แค่ครั้งละ 2 แผ่น 5 แผ่น หรือ 10 แผ่น แต่สมาชิกของ AKB48 ที่เป็นวงตั้งต้นมีแฟนคลับบางคนทุ่มซื้อซีดีทีเดียวเป็นพันแผ่น โดยมากจะเกิดขึ้นเมื่อซีดีนั้นแถมบัตรที่จะใช้โหวตคะแนนให้กับไอดอลคนที่ชื่นชอบ และทำให้ไอดอลคนนั้นมีโอกาสแสดงผลงานผ่านทีวีมากขึ้น

ผลของการทุ่มซื้อซีดีของกลุ่มแฟนคลับ สร้างผลบวกให้กับวงมากกว่าแค่ยอดขายซีดี เพราะยังทำให้ยอดขายซีดีถูกจัดอันดับติดเบสท์เซลเลอร์และทำให้เป็นเพลงที่มียอดขายติดอันดับที่ถูกเลือกมาเปิดในรายการทีวีต่าง ๆ ซึ่งเป็นการโฆษณาที่ยิ่งช่วยเพิ่มความแรงให้กับซีดีเพลงของวงขึ้นไปอีก ไม่นำรวมผลลัพธ์จากยอดขายซีดีที่ส่งผลต่อรายได้โดยตรง

โดยเฉพาะในญี่ปุ่นนั้น ซึ่งจริง ๆ ก็เหมือน ๆ กันในหลายประเทศที่รายการเพลงในทีวีจะเลือกเพลงจากยอดขายซีดีที่ติดท็อปชาร์ตเป็นหลัก ทำให้วิดีโอถูกเปิดซ้ำบ่อยและกะจายไปสู่ผู้ชมที่กว้างขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องเสียเงินแถมประหยัดค่าโฆษณาลงได้ด้วย

อีกด้านหนึ่ง ซีดีที่กลุ่มแฟนซื้อซ้ำเป็นจำนวนมาก ก็เป็นอีกทางในการเผยแพร่การรู้จักของวง ทำให้ไอดอลของพวกเขาเป็นที่รู้จักของคนกลุ่มใหม่ ๆ มากขึ้น ซึ่งคนที่ได้ฟังเพลงก็มีโอกาสจะเปลี่ยนมาเป็นแฟนของวงเพิ่มอีกในอนาคต

คีย์ซัคเซส ไอดอลคอนเทนต์ คือความต่อเนื่องของการสร้างแบรนด์

วิธีการหนึ่งที่ใช้ได้ผลดีและเป็นคีย์ของความสำเร็จที่ซ่อนอยู่ก็คือ การขายคอนเทนต์ของเหล่าไอดอล ผ่านรูปแบบและสื่อต่าง ๆ ที่บริษัทให้ความสำเร็จและสร้างเรื่องราวของการเติบโตเหล่านี้ให้กลายเป็นคอร์แวลู และเป็นการทำซ้ำในการขยายโมเดลธุรกิจของแบรนด์ไปในทุก ๆ ที่

48 กรุ๊ป เน้นทำรายได้ในช่วงที่แบรนด์เติบโตซึ่งแตกต่างจากระบบการสร้างไอดอลแบบที่ผ่านมา ที่ต้องเน้นสร้างวามสามารถแบบเป๊ะปังของไอดอลก่อนจะปล่อยสู่ตลาดหรือเน้นคุณภาพในการแสดงความสามารถ ซึ่งทำให้ต้นทุนไปตกอยู่ที่การพัฒนาความสามารถให้กับไอดอล

แต่สำหรับ 48 กรุ๊ป แม้จะดูเหมือนมีระบบที่ทำให้ทุกคนต้องผ่านการแข่งขันสูง แต่แท้จริงแล้วความสามารถเป็นเรื่องรอง ผลโหวตและความนิยมต่างหากที่เป็นเรื่องสำคัญกว่า ที่จะบอกว่าใครจะเป็นตัวจริง

จากนั้นสร้างรายได้จากการแสดงสดบนเวทีที่มีต้นทุนต่ำ เพราะเน้นความบันเทิงเพื่อผู้ชมเป็นหลัก ซึ่งอย่างไรก็ต้องยอมรับว่า ช่วงเวลาที่เหล่าไอดอลของ 48 กรุ๊ปได้รับความนิยมที่สุดก็คือ ช่วงก่อนระยะเวลาการคัดเลือกก่อนที่พวกเธอจะได้เป็นตัวจริง ซึ่งเป็นช่วงที่เรื่องราวของพวกเธอจะได้รับการติดตามจากเหล่าแฟนคลับ ที่เชื่อมโยงกับกลุ่มแฟนด้วยไอดอลคอนเทนต์นั่นเอง

เคล็ดลับง่าย ๆ ที่จะทำให้ไอดอลคอนเทนต์เป็นคอร์แวลูของแบรนด์ คือ ถ่ายทอดเรื่องราวการเติบโตของสมาชิกในวง สร้างเนื้อหาของสมาชิกที่ทำให้ตระหนักถึงความฝันตลอดจนได้รับการปรับปรุงในฐานะนักร้องหรือนักแสดง ยิ่งสมาชิกที่ยังอยู่ในโรงเรียนมัธยมด้วยแล้ว มีเนื้อหาถึงขั้นการจัดเตรียมเอกสารไว้จนเติบโตเป็นสาว เนื้อหาแบบนี้ทำให้แฟนคลับหรือผู้ชมรู้สึกมีส่วนร่วมเหมือนเป็นผู้ปกครองที่เฝ้ามองดูลูกเติบโต และแน่นอนมุมของแฟนที่ติดตามเพราะรู้สึกชื่นชอบรักใคร่สำหรับไอดอลที่ชื่นชอบเป็นพิเศษก็มีเหมือนกัน

ไอดอลคอนเทนต์ จึงเป็นสิ่งที่ช่วยสร้างความยั่งยืนเข็มแข็งให้กับโมเดลของ 48 กรุ๊ป และรักษาระดับความรักของแฟนคลับให้อยู่กับไอดอลต่อเนื่องไปยังรุ่นต่อ ๆ ไป

ไอดอลคอนเทนต์ยังช่วยเปลี่ยนจุดอ่อนให้เป็นจุดแข็ง การบอกเล่าเรื่องราวของสมาชิกในวง เช่น ความท้อแท้อ่อนแรงระหว่างฝึกจนสำเร็จกลายเป็นจุดแข็งของเนื้อหาที่ใช้เป็นจุดขาย นอกจากนี้ยังรวมถึงจุดอ่อนด้านทักษะการร้องการเต้นที่รูปแบบของวงไม่ได้ต้องการคนมีความสามารถสูงทั้งท่าเต้น ซึ่งให้เห็นผลว่าเพื่อให้แฟน ๆ เต้นตามได้ง่ายจะได้อินที่เรียนและเต้นไปพร้อม ๆ กับไอดอลที่ชื่นชอบ เพราะใคร ๆ ก็เต้นได้ เหมือนมิวสิกวิดีโอที 48 กรุ๊ปทำออกมาในทุกประเทศ ในการรวบรวมท่าเต้นจากบรรดาแฟนคลับกลุ่มอาชีพต่าง ๆ และกลายเป็นคอนเทนต์ต้นแบบที่จุดกระแสให้กลุ่มคนโพสต์วิดีโอโคฟเวอร์ของตัวเองในยูทูป

แล้วถ้ายังไม่ลืมว่า 95% ของแฟนคลับ 48 กรุ๊ปเป็นผู้ชาย วิดีโอเหล่านี้เป็นอีกหลักฐานที่ยืนยันได้อย่างดี เพราะภาพที่ปรากฏในนั้นเป็นชายมากกว่าหญิง เป็นความขัดแย้งที่ดูแล้วสนุกสนาน

ถึงวันนี้ จึงพิสูจน์แล้วว่า เพราะอะไร ทำให้โมเดลของ 48 กรุ๊ป เปลี่ยนธุรกิจเพลงและอุตสาหกรรมบันเทิงในเอเชียไปแล้วอย่างสิ้นเชิง และมีมูลค่ามหาศาลที่จัดต้องได้ ซึ่งล่าสุดเว็บไซต์ heightweighnetworth.com ประเมินรายได้สุทธิของอากิพีผู้ให้กำเนิดไอดอลแบรนด์นี้ไว้ว่า เขาน่าจะมีรายได้ถึง 71 ล้านเหรียญสหรัฐ จากการเป็นโปรดิวเซอร์จนถึงปัจจุบัน.