สรยุทธ สุทัศนะจินดา Time Out

“ทุกอย่างมีขึ้นก็มีลง” เป็นอุทาหรณ์ที่สรยุทธ สุทัศนจินดา ต้องท่องไว้ในใจในยามนี้ เมื่อเส้นกราฟความดัง ที่เคยฮอตสุดขีด กำลังมาถึงช่วงขาลง ท่ามกลางการแข่งขันของรายการข่าว รายการเล่าข่าว ที่มาถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนแปลง

ไม่แปลกที่สรยุทธ สุทัศนะจินดา จะบอกว่าเส้นกราฟความสำเร็จของเขาจะขึ้นถึงจุดสูงสุดในปี 2548 เพราะหากนับเวลาที่เขายึดครองจอแก้วไว้ได้ในแต่ละวันแล้ว นาทีนั้นเขาก็น่าจะดังยิ่งกว่าซูเปอร์สตาร์แถวหน้าของเมืองไทยทุกคนเสียอีก

นับตั้งแต่อุบัติเหตุของการสื่อสารในปี 2546 ที่ทำให้ “สรยุทธ” ต้องตก (งาน) จากรวงรังของเนชั่นที่บ่มเพาะเขามายาวนานกว่า 15 ปี ที่ถือเป็นจุดต่ำสุดครั้งหนึ่งในชีวิตของเขา

แต่ไม่ทันไรเขาก็ได้เวลาช่วง 5 ทุ่มถึงเที่ยงคืนของช่อง 9 โดยความอนุเคราะห์ของ “เจ๊มิ่ง” มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ ผอ.แห่งโมเดิร์นไนน์ ซึ่งบุญคุณครั้งนั้น ทำให้การดำเนินรายการของสรยุทธมีภาพเอนเอียงไปทางฝ่ายทักษิณค่อนข้างชัดเจน โดยดร.เสรี วงษ์มณฑา ผู้อำนวยการหลักสูตรดุษฎีบัณฑิตการจัดการการสื่อสาร มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต วิเคราะห์ว่า

รายการถึงลูกถึงคนของนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา เป็นปรากฏการณ์ที่แสดงให้เห็นว่าคนทำสื่อมีความลำบากใจ เพราะหลายครั้งหากเชิญฝ่ายหนึ่งมา แต่ไม่เชิญฝ่ายหนึ่งมาสรยุทธจะทำหน้าที่ซักค้าน โดยอ้างว่าต้องทำเพื่อความเป็นกลาง ให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย ซึ่งบางครั้ง บางประเด็นไม่จำเป็นจะต้องซักค้านก็ได้ เห็นชัดเจนในรายการวันที่เชิญ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง มาออก สรยุทธ พยายามซักค้านตลอด ขณะที่วันที่เชิญ น.พ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช มาออก หลายประเด็นกลับไม่ซักค้าน เป็นต้น

หรือหากย้อนไปในช่วงก่อนปฏิวัติ 19 กันยา ที่ทักษิณเลือกเคลียร์ตัวเองด้วยการเดินทางมาให้สัมภาษณ์ในรายการถึงลูกถึงคนของสรยุทธเพียงรายการเดียว

ไม่ถึงหนึ่งปีให้หลังสรยุทธก็ได้เวลาทองช่วงสามทุ่มครึ่งถึงสี่ทุ่มจากช่อง 9 มาเพิ่มเติมเพื่อจัดรายการ “คุยคุ้ยข่าว” ร่วมกับกนก รัตน์วงศ์สกุล คู่หูเก่าจากเนชั่น อันเป็นการตอกย้ำภาพความสัมพันธ์ที่เอื้อประโยชน์ระหว่างสรยุทธกับมิ่งขวัญและทักษิณเพิ่มขึ้นไปอีก

หากรวมกับรายการเรื่องเล่าเช้านี้ที่ออกอากาศทางช่อง 3 ของตระกูลมาลีนนท์ที่เป็นหนึ่งในครม.ของทักษิณ ก็ยิ่งทำให้สรยุทธกลายเป็นนักเล่าข่าวที่อิงการเมืองจนสามารถจ้อผ่านจอแก้วโกยเรตติ้งได้แทบทุกวัน วันละ 3 เวลา และเพียงพอต่อการที่เขาเปรียบตัวเองเป็นนักฟุตบอลที่ขึ้นถึงจุดพีคสุดของชีวิตนักเตะ

แต่ในเมื่อมีขึ้นก็ย่อมมีลงเป็นธรรมดา พลันที่สายลมการเมืองเริ่มเปลี่ยนทิศหลังการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 รายการของสรยุทธก็ต้องกระเด็นกระดอนออกจากผังของโมเดิร์นไนน์ไปทั้งสองรายการในปลายปีเดียวกัน เพราะมีการตรวจสอบพบว่าบริษัทไร่ส้มของสรยุทธมีการยักยอกไม่จ่ายเงินค่าโฆษณาจากรายการถึงลูกถึงคนให้กับอสมท.จนมีเรื่องมีราวฟ้องร้องกันอยู่พักใหญ่

และนั่นก็กลายเป็นโอกาสของวิกพระราม 4 ในการอ้าแขนรับตัวสรยุทธที่กำลังล้มลุกคลุกคลานเพราะวิ่งสะดุดขาตัวเอง ให้มาช่วยเสริมทัพข่าวของช่อง 3 อย่างเต็มตัว

สรยุทธ เป็นเดี่ยวมือหนึ่ง ที่ร่วมบุกเบิก รายการเล่าข่าว ประสบความสำเร็จ ชนิดถล่มทลาย เป็นยุคทองของเขา เขาได้เวลาออกอากาศทางช่อง 3 ถึง 4 รายการ คือ เรื่องเล่าเช้านี้ เรื่องเด่นเย็นนี้ช่วงเจาะข่าวเด่น เรื่องเล่าเสาร์อาทิตย์ และจับเข่าคุย

แต่วันนี้เขากลับต้องเผชิญการแข่งขันจากคู่แข่งต่างช่องที่ล้วนหันมาทำรายการเล่าข่าวกันจนเฝือ แถมภายในช่องเดียวกันยังเป็นที่รวมของบรรดาเสือสิงห์กระทิงข่าวมากมาย ไม่ว่าจะเป็น “วิศาล ดิลกวณิช” ที่มีลีลาการโยกตัวและชี้มือชี้ไม้ไม่ต่างไปจากสรยุทธแต่ครบเครื่องกว่าในเรื่องข่าวเศรษฐกิจ “บัญชา ชุมชัยเวชย์” ที่โตมาจากสายเศรษฐกิจแต่ก็เริ่มข้ามสายมาวิเคราะห์ข่าวการเมือง “สายสวรรค์ ขยันยิ่ง” ที่สามารถยึดเวลาช่วงเที่ยงวันทันเหตุการณ์ และ “กิตติ สิงหาปัด” ที่ได้ทำรายการข่าว 3 มิติในช่วงเวลาหลังละคร ด้วยการดิวกับช่อง 3 ในเงื่อนไขเดียวกับสรยุทธ

โดยเฉพาะรายการ “ข่าว3มิติ” ที่สามารถตอบโจทย์คนดู ได้ด้วยสไตล์การนำเสนอ ที่มีความรวดเร็ว และสดใหม่ บวกกับความครบถ้วนของเหตุการณ์ จึงตอบโจทย์คนดู ที่เริ่มเบื่อรายการ “เล่าข่าว” ทำให้รายการข่าว 3 มิติ ของกิตติ ถูกใจคนดูมากขึ้นเรื่อยๆ

ยิ่งเมื่อเทียบกับรายการ เล่าข่าวของสรยุทธ์ ที่คนดูเริ่มเบื่อ รู้สึกว่า ข่าว“ไม่มีอะไรแปลกใหม่” ข่าวไม่แตกต่าง และล่าช้า นอกจากลีลาของสรยุทธ์ที่ยังเป็นจุดขายเท่านั้น

ล่าสุด ช่อง 3 ตัดสินใจ อ้าแขนต้อนรับเสือเก่าอย่าง “ไตรภพ ลิมปพัทธ์” กลับคืนถ้ำ ส่งผลให้รายการ “จับเข่าคุย” ของสรยุทธ ซึ่งไม่ฮอตเท่าสมัยที่ทำรายการคุยคุ้ยข่าวและรายการถึงลูกถึงคน ถูกรายการคลับ 7 ที่แปลงร่างเป็น “ทูไนท์โชว์” เบียดตกผังไปเป็นที่เรียบร้อย

ท่ามกลางดีกรีการแข่งขันรายการข่าวที่กำลังดำเนินไปอย่างเข้มข้น การเพิ่มพิธีกรหน้าใหม่ สไตล์การนำเสนอที่ต้องเปลี่ยนจาก รายการเล่าข่าว มาเน้นการทำข่าวสดใหม่ มีสีสัน ลงสนามจริง อาจเป็นทางเลือกใหม่ของคนดู และสรยุทธเอง คงได้เรียนรู้กับคำว่า “มีขึ้นก็ย่อมมีลง” เป็นสัจธรรมที่ใครก็หนีไม่พ้น

Profile

Name สรยุทธ สุทัศนะจินดา
Education มัธยมปลาย โรงเรียนอำนวยศิลป์
ปริญญาตรี นิเทศศาสตร์บัณฑิต (วารสารศาสตร์) มหาวิทยาลัยกรุงเทพ (เกียรตินิยมอันดับ 1)
Career Highlights
– พิธีกรรายการเรื่องเล่าเช้านี้ (มิ.ย.46-ปัจจุบัน)
– พิธีกรรายการเรื่องเด่นเย็นนี้ (ม.ค.50-ปัจจุบัน)
– พิธีกรรายการเรื่องเล่าเสาร์อาทิตย์ (ม.ค.50-ปัจจุบัน)
– พิธีกรรายการจับเข่าคุย (เม.ย.50-เม.ย.52)
– พิธีกรรายการคุยคุ้ยข่าว (เม.ย.47-ธ.ค.49)
– พิธีกรรายการถึงลูกถึงคน (มิ.ย.46-ธ.ค.49)