“PTG” กำไร ครึ่งปีแรก 447 ล้านบาท ปรับเป้า ลดสปีดขยายสาขา เน้นเปิด กทม. – หัวเมืองใหญ่ หวังต่อยอด Non-oil 

พีทีจี เอ็นเนอยี ถือเป็นอีกหนึ่งในเจ้าของสถานีบริการน้ำมัน ที่หลังจากรีแบรนด์ ปรับโฉมปั๊มน้ำมัน เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ขยายสาขา พร้อมกับแตกแขนงธุรกิจด้าน นอนออยล์ต่อเนื่อง 

ล่าสุด พีทีจีได้ออกมาเปิดเผยถึงผลประกอบการครี่งปีแรก มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 447 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.20% และมีรายได้จากการขายและบริการอยู่ที่ 51,842 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ในส่วนของสถานีบริการน้ำมัน ปริมาณการขายอยู่ที่ 1,927 ล้านลิตร หรือเพิ่มขึ้น 13% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเติบโตมากกว่าอุตสาหกรรม

โดยมีส่วนแบ่งการตลาด (market share) ของช่องทางผ่านสถานีบริการยงคงเติบโต เพราะสามารถทำส่วนแบ่งการตลาดใหม่ (New high market share) อยู่ที่ระดับ 14%

พิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG ได้เตรียมแผนบริหารการลงทุน และบริหารค่าใช้จ่ายให้เหมาะสม เพื่อให้ค่าการตลาดของอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป รวมถึงเร่งสร้างกำไรในส่วนของธุรกิจ non-oil ให้มากขึ้น

ในไตรมาส 2 ยังมีรายได้จากธุรกิจ non-oil ในส่วนของธุรกิจแก๊สแอลพีจี ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ธุรกิจร้านสะดวกซื้อ ธุรกิจการให้บริการพื้นที่เชิงพาณิชย์ และธุรกิจอื่นๆ เติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพิ่มขึ้น 51% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ขณะเดียวกัน ธุรกิจ non-oil เติบโตมากขึ้นทั้ง ยอดขาย และอัตรากำไรขั้นต้น โดยในสัดส่วนของกำไรขั้นต้นของธุรกิจ non-oil เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 10% จากในปีที่แล้วมีสัดส่วนอยู่ที่ 6%

ในการที่บริษัทเร่งเพิ่มสัดส่วนของธุรกิจ non-oil เพราะธุรกิจดังกล่าวมีมาร์จิ้นสูงกว่าธุรกิจน้ำมัน โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นจากธุรกิจ non-oil เพิ่มสูงขึ้นเป็นมากกว่า 25% จากปีที่แล้ว ที่มีอัตรากำไรขั้นต้นจากธุรกิจ non-oil อยู่ที่ระดับ 22% ดังนั้นบริษัทจึงเดินหน้าเร่งเพิ่มสัดส่วนกำไรของ non-oil เพื่อช่วยสร้างผลตอบแทนให้เพิ่มมากขึ้น

ขณะที่ทิศทางการดำเนินธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลัง จะเน้นการขยายสาขาของธุรกิจน้ำมัน และธุรกิจ non-oil เฉพาะในพื้นที่ ซึ่งยังมีการเติบโตทางเศรษฐกิจสูง โดยได้ปรับคาดการณ์จำนวนสาขาของสถานีบริการน้ำมันและแก๊สแอลพีจีอยู่ที่ 1,900 สาขา (เดิมตั้งเป้าจะมีครบ 2,000 สาขา ภายในปี 61) และจำนวนสาขาของธุรกิจ non-oil อยู่ที่ 500 สาขา ซึ่งรวมร้านสะดวกซื้อ Max Mart, ร้านกาแฟพันธุ์ไทย, ร้านคอฟฟี่เวิลด์, ร้านข้าวแกงครัวบ้านจิตร, ร้านซ่อมบำรุงสำหรับรถบรรทุก Pro Truck และสำหรับรถยนต์ Autobacs

โดยบริษัทจะยังขยายสาขาด้วยการเช่าพื้นที่ของสถานีบริการเดิม และเพิ่มการให้บริการด้วยธุรกิจ non-oil ครบวงจร เพื่อบริหารพื้นที่ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด

การปรับคาดการณ์ เป็นผลมาจากเศรษฐกิจในต่างจังหวัด นอกเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ยังคงฟื้นตัวได้อย่างช้า เพราะราคาผลผลิตทางการเกษตรยังคงอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งอาจจะส่งผลต่อการเติบโตของปริมาณการจำหน่ายน้ำมัน บริษัทจึงปรับคาดการณ์การเติบโตอยู่ที่ 15-20% อย่างไรก็ตาม รัฐบาลยังออกนโยบายในการรักษาเสถียรภาพของราคาผลผลิตทางการเกษตร เพื่อช่วยเหลือเกษตรกร และจากปัจจัยดังกล่าวบริษัทจึงวางแผนขยายสาขาในเขตกรุงเทพฯ ปริมณฑล รวมทั้งหัวเมืองใหญ่ให้มากขึ้น เพื่อสร้างความสมดุลในการกระจายตัวของสถานีบริการ และเพื่อสนับสนุนการต่อยอดในธุรกิจ non-oil ได้อย่างเต็มที่

ทั้งนี้การปรับราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศให้สอดคล้องกับราคาต้นทุนของตลาดโลก ยังคงเป็นความท้าทายในครึ่งปีหลัง ทำให้ต้องปรับคาดว่า EBITDA จะเติบโต 15-20% และบริษัทยังคงเป้าหมายในการมุ่งไปสู่ธุรกิจ non-oil เพื่อการสร้างกระแสเงินสดที่มั่นคงและสม่ำเสมอในระยะยาว รวมทั้งยังวางแผนจะขยายพันธมิตรในการทำธุรกิจเพิ่มขึ้น.