เมื่อนักช้อปจีนคุ้นเคยแต่แอปจีน ต่อให้เป็นแบรนด์และร้านในอเมริกาก็ต้องยอมตาม

กลายเป็นการตลาดที่ไม่อาจฝืนกระแสได้ เมื่อแบรนด์อเมริกัน ในประเทศอเมริกา ต้องจัดระบบการชำระเงินใหม่ เพื่อเอาใจนักท่องเที่ยวจีนขาช้อปให้สะดวก ด้วยการติดตั้งรับชำระเงินด้วยแอปพลิเคชั่นที่ชาวจีนคุ้นเคยอย่างอาลีเพย์ (Alipay) เพื่อเป็นทางเลือกสำคัญในการเพิ่มยอดขาย และดึงดูดกำลังช้อปของนักท่องเที่ยวชาวจีนเพิ่มขึ้น

สิ่งที่แบรนด์อเมริกันทำ จึงดูเหมือนว่าจะสวนทางกับนโยบายทางการค้าและการเมืองของผู้นำประเทศ ซึ่งประธานาธิบดีอเมริกันถึงวันนี้ก็ยังมีบทบาทในฐานะผู้นำที่ประเทศอื่นๆ ต้องจับตากับท่าทีและนโยบายที่ประกาศออกมา เพราะบางเรื่องอาจจะส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ในหลายวงการ

ดังเช่นการเปิดฉากสงครามการค้าครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ระหว่างสหรัฐฯ กับจีน อย่างการเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากสินค้าจีนเพิ่มขึ้นถึง 25% นั้น อาจส่งผลให้การลงทุนของโลกชะลอตัวลง และทางจีนก็ตอบโต้ไปด้วยมาตรการที่ดุเดือดไม่แพ้กัน

อย่างไรก็ตาม ในโลกแห่งความเป็นจริงทุกประเทศต้องพึ่งพาซึ่งกันและกัน เพราะถ้าเศรษฐกิจที่เป็นปัจจัยขั้นพื้นฐานของมนุษย์ได้รับผลกระทบ ก็ยากที่จะมีการพัฒนาในด้านอื่นต่อไปได้ โดยเฉพาะโลกธุรกิจ

ขณะที่อเมริกันและจีนต้องช่วงชิงกันในสงครามการค้าระหว่างประเทศ แบรนด์อเมริกันหลายแบรนด์ที่เริ่มบุกเพื่อพึ่งพายอดขายและการเติบโตจากตลาดจีน ก็เดินหน้าขยายตลาดด้วยกลยุทธ์ต่างๆ อย่างต่อเนื่อง เพราะแบรนด์เองก็ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อความอยู่รอด นอกจากต้องปรับตัวตามกระแสโลกอย่างรวดเร็ว ก็ต้องคิดหาวิธีการรับมืออย่างทันท่วงที

ที่ปฏิเสธไม่ได้คือ นอกจากการนำแบรนด์เข้าไปบุกตลาดจีน การดำเนินงานของแบรนด์ในอเมริกาเองก็ต้องปรับกลยุทธ์เพื่อเอาใจกลุ่มนักท่องเที่ยวจากจีน ที่เติบโตและกระจายกลายเป็นตัวช่วยที่ดีของทุกประเทศทั่วโลกอยู่ในขณะนี้ ไม่เว้นแม้แต่ในอเมริกา

เหมือนเช่นที่แบรนด์ค้าปลีกในอเมริกา เพียงแค่บุกตลาดจีนให้คนจีนรู้จักไม่พอ ร้านสาขาในอเมริกาก็ต้องมีบริการรับชำระเงินด้วยแอปจีน ดังตัวอย่างกรณีของ Guess ในจีนที่เป็นพันธมิตรอย่างดีกับอาลีบาบาจนเห็นผล ทำให้ต้องย้อนกลับมาปรับปรุงสาขาในอเมริกา และประกาศใช้อาลีเพย์ในการรับชำระค่าสินค้า โดยมีเป้าหมายเพื่อดึงดูดลูกค้าชาวจีนมากขึ้นโดยเฉพาะ โดยจะทำการติดตั้งรวม 50 สาขา แน่นอนสาขาในแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังย่อมไม่พลาดทั้งที่ PIER 39, Blue & Gold Fleet, Bubba Gump, Fish Harbor Fish House, Aquarium of the Bay ฯลฯ

สิ่งทำให้ Guess มั่นใจอาลีเพย์ เพราะปัจจุบันอาลีเพย์มีจำนวนผู้ใช้ถึง 870 ล้านคนในระบบ และเป็นแพลตฟอร์มชำระเงินผ่านมือถือที่ใหญ่ที่สุดรายหนึ่งของโลก โดยมีฐานผู้ใช้เป็นรองวีแชตเพย์ (WeChatPay) ของเทนเซ็นต์คู่แข่งจากจีนด้วยกันแค่เล็กน้อย โดยวีแชตเพย์มีผู้ใช้ราว 900 ล้านราย

อีกทั้งจากสถิติในปี 2017 ยังพบว่า นักท่องเที่ยวจีนมีการใช้จ่ายสูงถึงกว่า 5,500 เหรียญสหรัฐ ในการเดินทางไปต่างประเทศ ยิ่งเป็นอะไรที่น่าจับตามองสำหรับตลาดการค้าปลีกของอเมริกา

การเพิ่มอาลีเพย์เป็นอีกช่องทางชำระเงิน ถือเป็นยุทธศาสตร์สำคัญของ Guess ที่จะทำให้แบรนด์กลับมาเติบโตด้วยลูกค้าจีนเลยทีเดียว เพราะก่อนหน้านี้ถือว่า Guess ได้สร้างประสบการณ์ของแบรนด์กับลูกค้าจีนมาแล้วจากการขยายสาขาถึง 132 แห่งในประเทศจีน ถึงตอนนี้จะช้อปที่อเมริกาหรือช้อปที่จีนก็ทำได้ด้วยประสบการณ์เดียวกัน

นอกจาก Guess แบรนด์ในอเมริกาหลายแบรนด์พยายามทำงานร่วมกับอาลีบาบาเพื่อการเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกสำหรับใช้เพื่อสร้างประสบการณ์ช้อปปิ้งแบบไร้พรมแดนและใช้ในกระบวนการสร้างความสัมพันธ์ลูกค้ากับลูกค้าประจำเพิ่มขึ้นด้วย

โดยในส่วนของอาลีเพย์ของอาลีบาบานั้น เริ่มขยายบริการเข้ามาในอเมริกาตั้งแต่ช่วงเดือนพฤษภาคม 2018 ที่ผ่านมา โดยร่วมมือกับ First Data เพื่อนำจุดรับจ่ายเงินด้วยอาลีเพย์ ไปให้บริการกับพาร์ตเนอร์ร้านค้าปลีกกว่า 4 ล้านแห่งทั่วอเมริกา โดยเน้นที่กลุ่มเป้าหมายชาวจีนเป็นหลัก โดยค้าปลีกเหล่านั้นกระจายในหลายธุรกิจ ทั้งด้านบริการ บันเทิง โรงแรม การคมนาคมขนส่ง รวมถึงแฟชั่นแบรนด์ เช่น Lacoste, GNC, Rebecca Minkoff, Holt Renfrew และ Harry Rosen

อาลีเพย์จะช่วยสร้างมูลค่าให้ค้าปลีกในอเมริกันได้อีกเท่าไร ก็ลองคำนวณดูจากตัวเลขเหล่านี้ ที่ปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางไปอเมริกาปีละเกือบ 3 ล้านคน ส่วนใหญ่คุ้นเคยกับการใช้อาลีเพย์แทนการใช้เงินสด โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ใช้โทรศัพท์มือถือและเทคโนโลยีต่างๆ ในชีวิตประจำวัน

ปัจจุบันรวมแล้วมีร้านค้าในอเมริกาเกือบ 175,000 แห่งที่ใช้อาลีเพย์ และเมื่อไม่นานมานี้ยังมีการเซ็นสัญญากับบริษัท Yelp เจ้าของแอปฯรีวิวและค้นหาร้านอาหารยอดฮิตในอเมริกา เพื่อให้ผู้ใช้สามารถจองร้านอาหารใน Yelp และจ่ายเงินผ่านอาลีเพย์ขณะเดินทางท่องเที่ยวในนิวยอร์ก ลอสแองเจิลลิส ลาสเวกัส และซานฟรานซิสโก ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นไปตามแผนขยายบริการสู่ตลาดโลกให้ครอบคลุมเมืองและประเทศที่หลากหลายมากยิ่งขึ้นของอาลีบาบานั่นเอง.

Source