ยิ่ง “ความรัก” ในตุ๊กตา Blythe งอกงาม ก็ยิ่งทำให้ธุรกิจเกี่ยวกับ Blythe ในเมืองไทยยิ่งเติบโต โดยเฉพาะธุรกิจช่องทางการจำหน่ายที่เกิดขึ้นอย่างหลากหลาย ทั้งรายเล็กและรายใหญ่ โดยมีจุดเปลี่ยนสำคัญ
คือการแต่งตั้ง Official Shop 2 แห่ง และกระแสดาราที่รัก Blythe แต่ความคึกคักนี้ก็มาพร้อม
ปรากฏการณ์ ที่บอกว่า Blythe ที่เคยเป็นธุรกิจแบบง่ายๆ ในเมืองไทย “หิ้วมาก็ขายได้” กลายเป็นธุรกิจที่จริงจังซีเรียส ทุกอย่างมีขั้นตอน ซึ่งมากพอๆ กับเม็ดเงินที่ไหลเข้าออก เพราะ Blythe มีโมเดลทำธุรกิจด้วยหลักสินค้าจำนวนจำกัด คู่ค้าต้องยอมจ่ายเงินก้อนล่วงหน้าอย่างน้อย 30% นานถึง 6 เดือน เงินก้อนที่จมนานโดยยังไม่ได้จับต้องสินค้านี้ Blythe จึงไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เหมือนเดิม
คนรัก Blythe ในเมืองไทยปัจจุบันสามารถมี Blythe มาไว้ครอบครองได้ ด้วยช่องทางหลักๆ คือ
1. การซื้อจากต่างประเทศ โดยเฉพาะแหล่งใหญ่คือที่ฮ่องกง ซึ่งเป็นแหล่งจำหน่ายที่คนรัก Blythe หลายคนคุ้นเคย รวมทั้งร้านจำหน่ายเล็กๆ ก็เป็นลูกค้าหลายช็อปในฮ่องกงมาก่อน
2. การซื้อจากเว็บไซต์
3. การซื้อจาก Official Shop ที่ปัจจุบันเมืองไทยมี 2 แห่ง คือลีโอ ทอย และ The Doll House @ Q Concept ส่วนใหญ่ เป็นลูกค้าบุคคลทั่วไป ที่มีจุดขายคือความมั่นใจในที่มาที่ไปของสินค้า
4. การซื้อจาก Shop เล็กๆ ทั่วไปที่กระจายอยู่ตามห้างสรรพสินค้า และตลาดนัดไลฟ์สไตล์อย่างจตุจักร มีลูกค้าบุคคลทั่วไปเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักเช่นกัน
ช่องทางจำหน่ายที่กลายเป็นเครื่องมือทางการตลาดที่สำคัญของ Blythe คือ Official Shop ซึ่งผู้ที่ทำสัญญาเป็นร้านจำหน่ายอย่างเป็นทางการกับ CWC หรือบริษัท Cross World Connection ประเทศญี่ปุ่น ผู้ถือลิขสิทธิ์ และผลิต Blythe ต้องยอมจ่ายเงินล่วงหน้า 30% เพื่อ Pre order สินค้านาน 6 เดือน โดยที่คู่ค้าจะได้เห็นเฉพาะร่างแบบ Blythe ใหม่เท่านั้น และโอนเต็ม 100% ก่อนสินค้าออก วิธีนี้ทำให้ CWC มั่นใจได้ว่าเมื่อสินค้าวางแล้ว ถูกซื้อหมดอย่างแน่นอน หรือในทางกลับกันการ Pre order ทำให้สามารถกำหนดจำนวนสินค้าที่จะวางขายได้โดยไม่มีสินค้าเหลือให้ถูกลดมูลค่าลง นอกเหนือจากการรักษามูลค่าของ Blythe ด้วยความเข้มข้นเกี่ยวกับลิขสิทธิ์ทั้งหมด
Official Shop ยังเป็นช่องทางการจัดกิจกรรมได้เป็นอย่างดี เพราะคงไม่มีใครลงทุนแล้วอยากให้กระแสเงียบลง ที่ผ่านมาทั้ง “ลีโอ ทอย และ The Doll House” จึงทุ่มจัดอีเวนต์ให้คนรัก Blythe โดดออกมาจากเครือข่ายสังคมออนไลน์ ได้มาร่วมสังสรรค์ในโลกจริงได้อย่างคึกคัก
“ลีโอ ทอย” ซึ่งอยู่ในธุรกิจนำเข้าและจำหน่ายตุ๊กตาหลากหลายจากหลายแหล่งมาตั้งแต่รุ่นพ่อแม่นั้น เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนอย่างยิ่งกับการขยับขยายธุรกิจ จากที่เคยใช้วิธีนำเข้า Blythe แบบ “หิ้ว” มาเอง และวางจำหน่ายแทรกกับตุ๊กตาตัวอื่นๆ ในช็อปที่มีทั้งที่คลองถม สะพานเหล็ก และสำเพ็ง แต่ช่วงปลายปี 2008 “ลีโอ ทอย” เห็นแนวโน้มที่มาแรงของ Blythe จึงเจรจากับบริษัท Cross World Connection หรือ CWC ญี่ปุ่น ผู้ถือลิขสิทธิ์ และผลิต Blythe เพื่อขอเป็นร้านจำหน่าย Blythe อย่างเป็นทางการ และลีโอ ทอย ก็ได้ประกาศเป็นรายแรกกับการเป็น Official Shop ในเดือนกันยายน 2008 ที่โลตัส สาขาปิ่นเกล้า
ถือเป็นการลงทุนครั้งสำคัญสำหรับลีโอ ทอย โดยมี “เบญจพร อณิรักษ์กุล” หรือ นุ้ย ทายาทลีโอ ทอย ที่รักใน Blythe และเรียนเทคนิคการแปลงโฉม (Custom) Blythe จากอาจารย์ที่ญี่ปุ่น เป็นแม่งานสำคัญ
หลังจาก “ลีโอ ทอย” แล้ว ในเดือนกุมภาพันธ์ 2009 Official Shop แห่งที่ 2 ก็เปิดขึ้นที่สยามพารากอน ห้างไฮเอนด์ใจกลางกรุง ในชื่อร้าน “The Doll House @ Q Concept Store” ภายใต้จุดขายที่มีนักธุรกิจไฮโซคือ “สิตมน แตงสุวรรณ” ถือหุ้นร่วมกับ “ชมพู่ อารยา เอ อาร์เก็ต” ดาราสาวสุดฮอตในวงการทีวี
ทั้งลีโอ ทอย และ The Doll House ได้จัดอีเวนต์ที่ทำให้ Blythe คึกคักมากขึ้น โดยเฉพาะอีเวนต์ของ The Doll House ยิ่งจุดพลุให้เกิดกระแส Blythe มากขึ้น โดยพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินเป็นประธานในพิธีเปิดนิทรรศการฉลองครบรอบ 7 ปี “Blythe A Wonder World : 7th Anniversary Charity Exhibition” ที่สยามพารากอน พร้อมนิทรรศการโชว์ Blythe ที่หลากหลาย โดยเฉพาะคอลเลกชั่น ของ “ชมพู่ อารยา” จนทำให้แฟนคลับวิ่งตามถามหา “Blythe” มากขึ้น
Official Shop ที่เมืองไทยจึงถือเป็นการเปิดตลาดของ CWC อย่างจริงจัง เช่นเดียวกับที่ CWC ให้ลิขสิทธิ์บริษัทต่างๆ ในประเทศแถบเอเชียเปิดร้าน เช่นที่เกาหลี ไต้หวัน ฮ่องกง มาเก๊า ปักกิ่ง จีน สิงคโปร์ มาเลเซีย และการเปิดร้านทั้งที่ลีโอ ทอย และ The Doll House “จุนโกะ หว่อง” ผู้ชุบชีวิต Blythe ในฐานะประธาน CWC ก็ได้บินตรงจากญี่ปุ่นเพื่อร่วมอีเวนต์ด้วย
หากวัดผลที่เกิดขึ้นในแง่ของการเติบโตของยอดขาย เห็นได้อย่างชัดเจน เมื่อเปรียบเทียบจากช่วงแรกๆ ทั้งลีโอ ทอย และ The Doll House เฉลี่ยขายได้วันหนึ่ง 5-10 ตัว แต่ในช่วงที่ฮอตสุดในช่วงต้นปี บางวันสามารถทำยอดขายได้ถึง 50 ตัว ด้วยเฉลี่ยราคาตัวละ 3,000-4,000 บาท ยังไม่นับเครื่องประกอบ Blythe ที่มีจำหน่ายในร้าน ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋าใส่น้อง Blythe เสื้อผ้า ผม ตา รองเท้า ที่ทำยอดขายให้ได้อย่างต่อเนื่อง เพราะ Blythe ก็ต้องการเสื้อผ้าหลายๆ ชุดไว้เปลี่ยน
Official Shop จึงกลายเป็นเครื่องมือทางการตลาดที่สำคัญของ Blythe เพราะยิ่งมีช็อปที่ชัดเจน ยิ่งทำให้คนรัก Blythe มั่นใจในการหาซื้อมาครอบครองมากขึ้น และสำหรับผู้ที่ลงทุนรับลิขสิทธิ์นี้มา แน่นอนว่าไม่มีใครอยากให้เรื่องราวของ Blythe สั้นจนเกินไป เพราะฉะนั้น Blythe จึงยังคงถูกสร้างให้อยู่ในกระแสตลอดเวลา
ดารา “แม่ค้า Blythe”เร่งกระแส
จากความชอบได้กลายเป็นธุรกิจอย่างเต็มตัวสำหรับ “ชมพู อารยา เอ ฮาร์เก็ต” ที่เธอบอกว่าตอนนี้ได้เป็น “แม่ค้าตุ๊กตา Blythe” อย่างเต็มตัวไปแล้ว ซึ่งปฎิเสธไม่ได้ว่าความเป็นดาราของเธอ ยิ่งทำให้ Blythe ดัง และร้านของเธอที่ร่วมหุ้นกับเพื่อนพี่น้อง “แตงสุวรรณ” ก็เติบโตอย่างรวดเร็ว
“ชมพู่” มี Blythe สะสมมากกว่า 100 ตัวในเวลาเพียงประมาณปีกว่า นับเป็นคนที่เล่น Blythe มาก่อน จึงทำให้เธอรู้จักโปรดักต์นี้อย่างดี และที่สำคัญประสบการณ์ที่เธอซื้อ Blythe ทั้งจากตลาดมืดและหิ้วมาจากต่างประเทศ ทำให้ “ชมพู่” คิดว่าหากมีช็อปที่เหมาะสมสำหรับน้อง Blythe น่าจะดี แล้ว The Doll House@ Q Concept ก็เกิดขึ้นที่สยามพารากอน และต่อเนื่องเปิดเพิ่มอีกจุดขายหนึ่งที่เซ็นทรัลเวิลด์ ทั้งสองแห่งเป็นห้างสรรพสินค้าที่โดดเด่นที่สุดในเวลานี้
สำหรับกลุ่มเป้าหมายคือคนเมือง รู้สึกดีที่จะซื้อในห้างสรรพสินค้า มีไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ โดยเฉลี่ยลูกค้าที่เข้ามาใน The Doll House มีทั้งวัยรุ่น วัยทำงาน หรือผู้ใหญ่ประมาณ 40 ปี จำนวน Blythe ที่ถูกลูกค้าซื้อในแต่ละวันในช่วงนี้แม้ภาวะเศรษฐกิจไม่ดี ขั้นต่ำก็ขายได้ประมาณ 5 ตัว และรายได้ส่วนใหญ่อีกส่วนหนึ่งมาจาก Accessories ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า กระป๋า ของ Blythe
ความเติบโตของร้านเป็นไปอย่างรวดเร็ว หากนับตั้งแต่เปิดร้านอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2009 ที่ผ่านมา ขณะนี้ “ชมพู่” ได้เงินปันผลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งเธอบอกว่าเกินความคาดหมาย
“ชมพู่” มองว่าความสำเร็จของ Blythe ที่ทำให้เธอรัก และอีกหลายคนยอมทุ่มเงินซื้อ เพราะ 1.ตัวสินค้า ที่ทีมออกแบบ และการตลาดของ CWC ทำให้คู่ค้าอย่างเธอมั่นใจได้ว่าสินค้าขายได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำให้ยากต่อการครอบครอง ด้วย Limited Edition สินค้าไม่ผลิตซ้ำ สำหรับปัจจัยที่ 2 คือเรื่องดารา และศิลปินนิยมมากขึ้น “ชมพู่” บอกว่าเป็นปัจจัยที่ช่วยกระพือให้กระแสเร็วขึ้นเท่านั้น
ในมุมของ “ชมพู่” Blythe นอกจากให้เธอได้ทำธุรกิจที่ต้องการแล้ว เธอยังมีความสุขกับการชื่นชม Blythe ทั้งหมดที่มีอยู่กว่า 100 ตัว ที่ไม่ต้องถึงขั้นนำมาแต่งตัว ทำผม ถ่ายรูป แค่เพียงตั้งไว้โชว์ และมอง ก็มีความสุขแล้ว
นอกจากนี้ที่สำคัญที่ Blythe ทำให้เธอรู้สึกคือBlythe สามารถทำให้เกิดสมาธิ และดึงด้านดีๆ ของคนออกมา เพราะ Blythe ต้องการความทะนุถนอม เวลาจับ ถือ หรือ อุ้ม ทำให้คนทำอะไรช้าลง รู้สึกอ่อนโยนและทะนุถนอม มีความคิดสร้างสรรค์ และสามารถดึงวัยเด็ก ซึ่งบางทีเราอาจลืมไปแล้ว