เปิดพฤติกรรมคุณแม่ไทยช้อปออนไลน์สนั่น เฟซบุ๊ก Lazada Shopee LINE ช่องทางยอดนิยม แบรนด์อยากทำตลาดต้องเน้นดิจิทัลเท่านั้น

theasianparent.com เว็บไซต์ครอบครัวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เผยผลการศึกษาพฤติกรรมการเสพสื่อของคุณแม่เอเชียยุคใหม่ประจำปี จากการใช้จ่ายในครัวเรือนของกลุ่มคุณแม่ไทย พบเป็นผู้ทรงอิทธิพลในการซื้อของเข้าบ้าน และมีพฤติกรรมช้อปออนไลน์สูง ช่องทางโซเชียลมีเดีย Facebook และ LINE ติดอันดับยอดนิยม

กลุ่มคุณแม่ไทย นับเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพสูงและเป็นเป้าหมายทางการตลาดที่น่าจับตามอง ครอบคลุมทุกผลิตภัณท์และบริการตั้งแต่ผลิตภัณท์สำหรับลูกน้อย ยันสินค้าประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งเป็นไปในทางเดียวกันทั้งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้   

ในเรื่องของการใช้อินเทอร์เน็ตของคุณแม่ไทยรวมทั้งการใช้ชีวิตในรูปแบบดิจิทัล ได้เพิ่มจำนวนสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นเรื่องที่ท้าทายและเป็นโอกาสสำหรับนักการตลาดในการที่จะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายกลุ่มนี้ เพราะเป็นกลุ่มที่มีอิทธิพลในการตัดสินใจซื้อสูง ไม่ได้ซื้อเฉพาะสำหรับตนเองเท่านั้น แต่รวมถึงทุกคนในครอบครัว โดยการทำการตลาดให้เข้าถึงกลุ่มคุณแม่ในปัจจุบันนี้ จำเป็นต้องเน้นในเรื่องของดิจิทัลเป็นลำดับแรก

พิลาวรรณ วานิชชินชัย Deputy Country Manager กล่าว จากการสุ่มสำรวจคุณแม่กลุ่มตัวอย่างจำนวนกว่า 1,000 คน โดยการทำแบบประเมินทางออนไลน์ ผลสำรวจออกมาน่าสนใจดังนี้

คุณแม่ส่วนใหญ่มีการใช้งานอินเทอร์เน็ตมากขึ้นหลังจากตั้งครรภ์ โดยใช้งานมากถึง 46.69% เพิ่มขึ้นมากกว่า 4 ชั่วโมงต่อวัน (20.75%) ซึ่งเวลาส่วนใหญ่จะใช้ไปกับการท่องโซเชียลมากที่สุด (77.10%) รองลงมาจะเป็นการเข้าไปหาข้อมูลตามเว็บไซต์เกี่ยวกับครอบครัว (Parenting Sites) (75.31%) ถัดมาคือ ซื้อของออนไลน์ (62.43%) เสิร์ชหาข้อมูลทั่วไปทางอินเทอร์เน็ต (42.58%) เช็กอีเมล (37.57%) และเรื่องอื่นๆ (4.29%) ตามลำดับ

ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่หาข้อมูล (91.95%) โดยใช้ระยะเวลาประมาณ 1-3 ชั่วโมงต่อวัน ถัดมาเป็นคอมพิวเตอร์ (7.51%) ใช้เวลาน้อยกว่า 1 ชั่วโมงในแต่ละวัน และแท็บเล็ต (0.54%) ใช้เวลาน้อยกว่า 1 ชั่วโมงในแต่ละวันเช่นกัน ระบบปฏิบัติการที่ใช้ส่วนใหญ่จะเป็นแอนดรอยด์ อยู่ที่ 70.66% ในขณะที่ ios มีเพียง 29.34% เท่านั้น แต่หากแยกโทรศัพท์ออกเป็นแบรนด์ต่างๆ พบว่า อันดับหนึ่งที่มีผู้ใช้มากที่สุด คือ iPhone (29.34%) ตามมาด้วย Samsung (26.30%) Vivo (12.16%) และ Huawei (9.48%) ตามลำดับ

ประเภทของบทความที่คุณแม่ได้ติดตามบนโซเชียลมีเดีย และมีการเปิดอ่านอยู่บ่อยครั้ง 5 อันดับ ได้แก่ ครอบครัวและเด็ก (85.69%) อาหาร (63.86%) แฟชั่นและความงาม (38.82%) รีวิวสินค้าต่างๆ (38.28%) และการท่องเที่ยว (36.31%) ตามลำดับ

สำหรับบทความเกี่ยวกับครอบครัวและเด็ก บทความที่คุณแม่อ่านบ่อยที่สุด คือ เรื่องพัฒนาการของทารกและเด็ก (75.85%) รองลงมาเป็นเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพและโภชนาการ (62.43%) ถัดมาเป็นเรื่องการศึกษา (43.11%) ตามลำดับ

ในกรณีที่คุณแม่มีปัญหาหรือมีข้อสงสัยเกี่ยวกับครอบครัวและเด็ก ส่วนใหญ่จะเข้าไปค้นหาข้อมูลผ่านทางเว็บไซต์/แอปพลิเคชั่นเกี่ยวกับครอบครัว (76.03%) ค้นหาข้อมูลจากการเสิร์ช (68.69%) สอบถามจากบุคคลใกล้ชิด (57.25%) ถามจากหมอหรือผู้เชี่ยวชาญ (51.88%)  และดูตามโซเชียลมีเดียอย่างเฟซบุ๊ก และเฟซบุ๊กกรุ๊ป (44.72%)

แอปพลิเคชั่นที่คุณแม่มักใช้ในการสื่อสารส่วนมากเป็น LINE (89.45%) และ Facebook Messenger (89.27%) ถัดมาจะเป็น Instagram (20.39%) WhatsApp (2.33%) และ Wechat (2.15%) ตามลำดับ โดยที่แม่ส่วนใหญ่มักจะชอบเข้าไปมีปฏิสัมพันธ์กับคุณแม่ท่านอื่นๆ ผ่านกลุ่มของเฟซบุ๊กหรือชุมชนออนไลน์ต่างๆ เกือบตลอดทั้งวัน (30.05%) ทั้งยังมีบัญชีโซเชียล (Social Media Accounts) ที่เป็น Facebook มากเป็นอันดับหนึ่ง (97.50%) รองลงมาเป็น LINE (93.02%) ที่ต่างจากกันเพียงเล็กน้อย ถัดมาเป็น Instagram (60.11%) YouTube (55.46%) Twitter (20.39%) ตามลำดับ

การติดตามโซเชียลมีเดียของสินค้าและบริการแบรนด์ต่างๆ นั้น คุณแม่มักจะติดตามเพราะต้องการอัปเดตสินค้าล่าสุดหรือข้อเสนอใหม่ๆ เป็นอันดับแรก (77.10%) รองลงมา คือ ต้องการทราบถึงโปรโมชั่น และส่วนลดต่างๆ (74.42%)

สำหรับประเภทของสินค้าหรือบริการที่คุณแม่ติดตามมากที่สุด 5 อันดับ ได้แก่ สินค้าเด็ก (87.30%) สินค้าแฟชั่นและของออนไลน์ (57.96%) อาหาร (52.95%) สุขภาพ (41.68%) และการท่องเที่ยว (36.49%) ตามลำดับ

เวลาคุณแม่ค้นหาข้อมูลของสินค้าหรือบริการสำหรับเด็ก คุณแม่มักจะทำการเสิร์ชหาข้อมูล/ดูรีวิวสินค้าหรือบริการเป็นอันดับแรก (74.42%) ถัดมาจะดูจากเว็บไซต์/แอปพลิเคชั่นเกี่ยวกับครอบครัว (70.13%) ดูจากโซเชียลมีเดีย (55.10%) และสอบถามจากบุคคลใกล้ชิด (41.86%) โดยก่อนที่จะตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการมักจะทำการเสิร์ชหาข้อมูล/ดูรีวิวสินค้าหรือบริการเป็นอันดับแรกเช่นเดียวกัน (62.97%) ถัดมาจะดูตามเว็บไซต์/แอปพลิเคชั่นเกี่ยวกับครอบครัว (58.14%) และสอบถามจากบุคคลใกล้ชิด (49.91%)

ทางด้านของการซื้อสินค้าออนไลน์ แม่ไทยส่วนใหญ่จะซื้อของอย่างน้อยเดือนละครั้ง คิดเป็น 91.05% แบ่งเป็น ซื้อประมาณ 2-3 ครั้งต่อเดือน (31.66%) ซื้อเดือนละครั้ง (30.05%) หลายครั้งต่อสัปดาห์ (15.21%) และทุกสัปดาห์ (14.13%) ตามลำดับ เหตุผลที่คุณแม่ชอบซื้อสินค้าออนไลน์เพราะว่าสะดวก (83.89%) ประหยัดเวลา ไม่ต้องออกจากบ้าน (83.10%) และยังได้ราคาที่ถูกกว่า โปรโมชั่นที่ดีกว่า (77.41%)

ประเภทสินค้าที่คุณแม่มักจะซื้อผ่านทางออนไลน์บ่อยๆ 5 อันดับ ได้แก่ เสื้อผ้าเด็ก (74.26%) รองลงมาเป็นของใช้เด็ก (69.55%) ถัดมาเป็นเสื้อผ้าสำหรับแม่เอง (45.38%) สินค้าเกี่ยวกับเครื่องสำอางและความงาม (39.29%) ของใช้ทั่วไป (39.10%) ของใช้ภายในบ้าน (27.31%) และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ (11.79%) ตามลำดับ

สำหรับช่องทางที่ใช้ซื้อของออนไลน์ อันดับหนึ่งคือ ทางเฟซบุ๊ก (75.44%) อันดับรองลงมา คือ Lazada (70.73%) ถัดมาเป็น Shopee (61.49%) และ LINE (42.24%) ตามลำดับ 

โดยที่ “คุณแม่” กว่า 98% มักจะเป็นผู้ที่มีอำนาจในการตัดสินใจซื้อของเข้าบ้าน และคุณแม่มากถึง 58.86% มักจะเป็นคนตัดสินใจซื้อของเข้าบ้านทุกครั้ง ส่วนคุณแม่อีก 39.18% จะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคนอื่นบ้างในบางโอกาส

วีรติ ถิ่นนาเวียง Associate Regional Head of content ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ทิคเกิ้ลมีเดีย ผู้ผลิตสื่อออนไลน์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มุ่งสร้างเนื้อหาเพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้หญิงโดยเฉพาะ ปัจจุบันมีเว็บไซต์ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ในด้านต่างๆ ของผู้หญิง 4 เว็บไซต์ ได้แก่ th.theasianparent.com เว็บไซต์ครอบครัวอันดับหนึ่งของประเทศไทย ได้เข้ามาให้บริการในประเทศไทยเมื่อปี 2557 มียอดผู้เข้าชมเว็บไซต์เกือบ 4  ล้านคนต่อเดือน มีผู้ติดตามในแฟนเพจมากกว่า 1 ล้านคน

การสร้างและพัฒนาคอนเทนต์โดยอ้างอิงจากข้อมูลเชิงลึกจากการสำรวจและติดตามพฤติกรรมของผู้อ่านของเราอย่างใกล้ชิด ใน Social Media ซึ่งมีผู้เข้ามาใช้งานและการมีส่วนร่วมที่สูง ทำให้ผลิตคอนเทนต์ได้ตรงตามความต้องการและตอบโจทย์ชีวิตและปัญหาของคุณแม่ไทยซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายได้ดี รวมไปถึงการมี Social Media ที่แข็งแรง ทำให้ theAsianparent เป็นมากกว่าเว็บไซต์ที่ให้ความรู้ แต่ยังเป็นสังคมออนไลน์ที่เปิดโอกาสให้กลุ่มคุณแม่ได้เข้ามามีส่วนร่วมและแสดงความคิดเห็น และแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์กันระหว่างคุณแม่ด้วยกันเองอีกด้วย.