ละครมาราธอน กลยุทธ์ยอดฮิต เรียกเรตติ้ง ลดต้นทุน วันหยุดยาว ช่อง 3 – ช่อง 8 เอาด้วย ชิงคนดูช่วงปีใหม่

ละครมาราธอน หรือ การจัดละครมาออกอากาศใหม่แบบยาวต่อเนื่อง กำลังกลายเป็นกลยุทธ์ ที่ “ทีวีดิจิทัล” นิยมทำกัน เพื่อเรียกเรตติ้งคนดูให้อยู่กับช่อง และเป็นส่วนหนึ่งของการประหยัดต้นทุน หรือ save cost ในช่วงที่วงการทีวีดิจิทัลต้องเผชิญหน้ากับสภาวะเศรษฐกิจไปแล้ว

คอนเซ็ปต์ละครรีรัน เป็นกลยุทธ์ที่ประสบความสำเร็จมากจากประเทศเกาหลี ที่มีการจัดช่วงละครรีรันบ่อยครั้ง เพื่อโปรโมตละครที่กำลังออกอากาศ ส่วนในประเทศไทยนั้น “ช่องวัน” เป็นช่องแรกที่นำกลยุทธ์นี้มาใช้ ส่วนมากเป็นการนำละครใหม่ที่กำลังออกอากาศ มาออนแอร์แบบมาราธอนต่อเนื่องทั้งวันโดยเน้นช่วงเทศกาลวันหยุดยาว ซึ่งได้ผลช่วยสร้างเรตติ้งให้กับละครที่กำลังออกอากาศดีไปด้วย

ช่วงเทศกาลปีใหม่ ก็เป็นอีกช่วงหนึ่งที่ช่องวันเตรียมจัดช่วงละครมาราธอนเช่นกัน ที่รอการระบุเวลา และเรื่องที่ออกอากาศ

งานนี้ ไม่ใช่แค่ช่องวัน แต่ยังรวมไปถึงช่อง 3 ประกาศผังละครในช่วงละครเย็น และละครไพรม์ไทม์ของช่วงครึ่งหลังเดือนธันวาคมนี้ว่า จะเป็นเทศกาลละครรีรัน ส่งความสุขช่วงเทศกาลปีใหม่ทั้งหมด

ช่อง 3 เริ่มมาราธอนยาว 2 สัปดาห์สุดท้ายของปี

ช่อง 3 เลือกละครที่ได้รับความนิยมและมีเรตติ้งสูง 2 เรื่องสำหรับการรีรัน โดยเริ่มวางละครรักโรแมนติก “ลิขิตรัก The Crown Princess” ละครที่มีคู่ขวัญตัวท็อปของช่อง “ณเดชน์-ญาญ่า” แสดงนำคู่กัน มาจัดลงยาวตั้งแต่ 18-30 ธันวาคม ที่ช่อง 3 ระบุว่า เป็นการรีรันแบบฉบับของ Master Edition

รวมทั้งละครบู๊สนั่น “อังกอร์” ของค่ายอาหลอง จูเนียร์ ละครม้ามืด ที่ทำเรตติ้งสูงสุดอันดับ 3 ของช่อง 3 ในปีนี้ มาจัดลงในช่วงละครเย็น เริ่มตั้งแต่ 20 ธันวาคม – 1 มกราคม 2562 โดยเฉพาะวันที่ 31 ธันวาคม และ 1 มกราคมนั้น เป็นการออนแอร์ต่อเนื่องไปถึงช่วงหลังข่าวที่เป็นช่วงไพรม์ไทม์

เบื้องหลัง Save Cost ครั้งใหญ่

แม้ว่าช่อง 3 ยิงทีเซอร์ระบุการยิงยาวละครมาราธอนช่วง 2 สัปดาห์สุดท้ายว่า เป็นช่วงเทศกาลส่งความสุข แต่เหตุผลที่แท้จริงแล้ว คือการลดต้นทุนขนานใหญ่ของช่องส่งท้ายปีนั่นเอง

ปกติการลงทุนละครแต่ละเรื่องใช้งบไม่ต่ำกว่า 30 ล้านบาท ซึ่งในหนึ่งสัปดาห์จะมีละครใหม่ออนแอร์ทั้งหมด 4 เรื่อง เป็นละครเย็น 1 เรื่อง และละครหลังข่าว 3 เรื่อง สำหรับวันจันทร์-อังคาร, พุธ-พฤหัส และศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ รวม 3 เรื่องต้องใช้เงินไม่ต่ำกว่า 120 ล้านบาท

ในขณะที่ภาพรวมงบโฆษณาในช่วงเดือนธันวาคมของทุกปี เป็นที่รับรู้กันว่าเป็นช่วงเดือนเทศกาลวันหยุดปลายปี การใช้จ่ายงบโฆษณาจะเป็นช่วงที่บรรดาบริษัท และเอเจนซี่ เทงบโฆษณาลงน้อยที่สุด เนื่องจากเชื่อว่าเป็นช่วงที่คนเดินทาง รับชมทีวีน้อยลง

ที่ผ่านมาหลายๆ ช่องใช้วิธีการจัดรายการพิเศษ หรือจัดหนังต่างประเทศ และรายการรีรันรวมมิตรเข้ามาเพื่อลดต้นทุน แต่ก็มักจะทำในช่วงสั้นๆ ของเทศกาลวันหยุด

เมื่อดูจากแนวโน้มทิศทางผลประกอบการของบีอีซี เวิลด์ หรือกลุ่มช่อง 3 ใน 3 ไตรมาสแรกของปีนี้ พบว่ายังขาดทุนอยู่ที่ -70.26 ล้านบาท หากไม่มีระบบการจัดการบริหารลดต้นทุนที่ดีในไตรมาสที่ 4 แล้ว เชื่อว่าภาพรวมผลประกอบการของปีนี้ทั้งปี ก็คงต้องขาดทุนอย่างแน่นอน

ผลประกอบการของกลุ่มช่อง 3 มีการขาดทุนอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ไตรมาส 4/2560 และต่อเนื่องมาถึงไตรมาส 2 /2561 โดยที่ไตรมาส 3/2461 มีกำไรแต่ก็น้อยมาก โดยมีกำไรอยู่เพียง 78.3 ล้านบาท

ดังนั้นการนำละครที่ออกอากาศในปีนี้มารีรัน จึงเป็นการตอบสนองมาตรการรัดเข็มขัดครั้งใหญ่ของช่องนั่นเอง

อย่างไรก็ตาม เพื่อไม่ให้เสียชื่อเครดิตช่องใหญ่ เมื่อนำละครมารีรันอีกครั้งจึงจำเป็นต้องมีความพิเศษ แตกต่างจากตอนที่ออกอากาศไปแล้ว

จากปากคำของผู้จัด “แอน ทองประสม” กับละคร “ลิขิตรัก” นั้น ระบุว่า “ลิขิตรัก” ที่นำมาออกอากาศใหม่นี้ จะมีทั้งหมด 13 ตอนจากเดิม 12 ตอน โดยจะมีตอนที่ไม่เคยออกอากาศมาก่อนแทรกในช่วงกลางเรื่องเป็นต้นไป โดยเฉพาะการเสริมฉากฟินๆ ของคู่ “ณเดชน์-ญาญ่า” ที่ขณะนี้เปิดตัวในฐานะคู่รักอย่างเป็นทางการไปแล้ว

ส่วน “อังกอร์” นั้น ก็มีความเคลื่อนไหวจากบรรดาไอจีของนักแสดง เหมือนกับมีการถ่ายเพิ่มเติมในตอนพิเศษด้วยเช่นกัน

ช่อง 8 เอาบ้าง รีรันละคร “สาปกระสือ” ละครแรงแห่งปีของช่อง

ช่อง 8 ของกลุ่มอาร์เอส เป็นช่องที่มีคอนเทนต์หลักๆ คือ ข่าว, ซีรีส์อินเดีย, มวยไทย และละครไทย โดยละครไทยถือเป็นคอนเทนต์ที่มาแรงที่สุดของปีนี้ของช่อง 8 มาแทนที่ซีรีส์อินเดียที่ลดความร้อนแรงลดไปมาก

ละครไทยของช่อง 8 จัดวางไว้ในช่วงละครเย็น เพื่อไม่ชนกับละครแรงของช่องใหญ่ในช่วงหลังข่าว 2 ทุ่ม ซึ่งได้เปิดตลาดชุดละครไทยในช่วงวันหยุดเสาร์ อาทิตย์ไว้นานแล้ว แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จมากนัก จนในต้นเดือนกรกฎาคมนี้ ช่อง 8 เริ่มชุดละครไทยในวันจันทร์-พฤหัส ด้วยเรื่อง “พยัคฆา” เริ่มสร้างกระแสคนติดตามได้มากขึ้น โดยเฉพาะจากฐานผู้ชมในต่างจังหวัด ที่เป็นฐานหลักของผู้ชมละครช่อง 8 จนกระทั่งมาจุดติดด้วยเรื่อง “สาปกระสือ” ที่ได้ “น้ำตาล- ชาลิตา ส่วนเสน่ห์” Miss Universe Thailand ปี 2016 มาแสดงละครเป็นครั้งแรก

“สาปกระสือ” กลายเป็นละครที่ได้เรตติ้งเฉลี่ยสูงสุดของช่อง 8 ในปีนี้ ด้วยเรตติ้งเฉลี่ยจากการออกอากาศครั้งแรก 24 ก.ย. – 12 พ.ย. อยู่ที่ 2.136 เป็นรายการที่ทำเรตติ้งสูงสุดของช่องในช่วงครึ่งปีหลัง แซงหน้าซีรีส์อินเดียที่กำลังออกอากาศอยู่ทั้งหมด

เมื่อถึงช่วงเทศกาลปลายปี ช่อง 8 จึงเอาบ้าง เมื่อละคร “ซิ่นลายหงส์” จะจบลงในวันที่ 24 ธันวาคมนี้ จึงจัดละครมาราธอน ยิงยาวตั้งแต่ 25 ธ.ค. 61 – 2 ม.ค. 62 ในช่วงละครเย็น ก่อนจะเริ่มละครชุดใหม่ในหลังปีใหม่

เช่นเดียวกับทีวีดิจิทัลช่องอื่นๆ ผลประกอบการของอาร์เอส ไตรมาส 3/2561 ในส่วนธุรกิจทีวีดิจิทัลลดลงเช่นเดียวกับช่องอื่นๆ โดยในไตรมาส 3/2561 อาร์เอสมีรายได้จากการขายและการให้บริการรวมของไตรมาส 3 ปีนี้อยู่ที่ 837.3 ล้านบาท ลดลง 15.3% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และลดลง 12.3% จากไตรมาส 2 ของปีนี้ มีกำไรอยู่ที่ 106.6 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวของปีที่แล้ว 13.9% และลดลงถึง 36.1% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ของปีนี้

อาร์เอสชี้แจงว่า สาเหตุที่รายได้และกำไรลดลง เป็นผลมาจากการลดลงของงบโฆษณาผ่านสื่อทีวีในไตรมาส 3 ลดลงต่อเนื่องทุกเดือน โดยในเดือนกันยายนที่ผ่านมา งบโฆษณารวมลดลง 0.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2560 ซึ่งช่อง 8 ก็ได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน ทำให้รายได้ส่วนนี้อยู่ที่ 300 ล้านบาท ลดลง 35.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้จากค่าโฆษณาที่ 463.1 ล้านบาท แต่โดยรวมที่กำไรเป็นผลจากธุรกิจ Home Shopping

การจัดละครมาราธอนในช่วงปลายปีของอาร์เอส จึงเป็นกลยุทธ์สำคัญในการลดต้นทุน และสร้างการรับรู้ตลาดละครไทยของช่อง 8 ที่จะมีการขยายตลาดละครใหม่ในช่วงเย็นวันหยุด เสาร์-อาทิตย์ ในปีหน้า เรียกได้ว่า ยิงปืนนัดเดียวได้นก 2 ตัวเลยทีเดียว.