ล้วง อินไซต์ “LINE MAN” ชานมไข่มุกเมนูโตแรง คนชอบใช้แท็กซี่วันเสาร์

Thanatkit

เกิดมามีอายุสองขวบครึ่งแล้วสำหรับ “ไลน์แมน (LINE MAN)” บริการสั่งอาหาร, ส่งพัสดุ, แมสเซ็นเจอร์, สั่งของจากร้านสะดวกซื้อ และบริการเรียกแท็กซี่ ซึ่งทุกอย่างที่ว่ามา มีจุดเริ่มต้นจากใน “เมืองไทย” ทั้งสิ้น

ชาญวุฒิ ลือชัยสิทธิ์ (ซ้าย) ธารวิทย์ ดิษยวงศ์ (กลาง) นพปฎล วชิรโกวิทย์ (ขวา)

ชาญวุฒิ ลือชัยสิทธิ์ ผู้อำนวยการการตลาดและสื่อสารองค์กร LINE ประเทศไทย, ธารวิทย์ ดิษยวงศ์ ผู้จัดการบริการ LINE MAN Messenger & Parcel (ส่งพัสดุ) และนพปฎล วชิรโกวิทย์ ผู้จัดการบริการ LINE MAN – Food Delivery (ส่งอาหาร) ร่วมกันฉายภาพ “ไลน์แมน” ทั้งปี 2018 เติบโตกว่า 300%

“บริการสั่งอาหาร” เป็นกลุ่มที่มีผู้ใช้งานมากที่สุดเติบโตกว่า 250% ส่วนใหญ่ชอบสั่งมื้อกลางวันและมื้อเย็น โจทย์ของบริการนี้อยู่ที่ “ต้องสร้างความคุ้มค่า” และมีตัวเลือกเยอะ เพราะคนไทยมักจะมีคำถามติดปากวันนี้กินอะไรดี”

ไลน์แมนจึงต้องหาร้านใหม่เข้ามาเติมอีกเรื่อยๆ เพื่อสร้างตัวเลือกให้กับผู้ใช้งาน วันนี้มีทั้งหมด 40,000 ร้าน กว่า 80% เป็นร้านสตรีทฟู้ด โดยครึ่งหนึ่งของคำสั่งซื้อทั้งหมด ร้านอาหารจะรู้เลยตั้งแต่ลูกค้ากดสั่ง เพราะไลน์แมนได้ทำซอฟต์แวร์ให้ร้านได้ใช้ด้วย ส่วนที่เหลือพนักงานต้องไปต่อคิวเอง

“บริการเรียกแท็กซี่” ถือเป็นพระเอกสำหรับไลน์แมน เพราะเพียงครึ่งปีเติบโต 330% แม้ช่วงแรกที่เปิดให้บริการเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา การเติบโตไม่ค่อยหวือหวามาก เพราะยังมีปัญหาที่ต้องแก้ไข จากจำนวนแท็กซี่ที่มีในระบบน้อย ทำให้ระยะเวลาแมทซ์กับผู้ใช้นานกว่าปรกติ ตอนนี้ดีขึ้นมากมีจำนวนคนขับแท็กซี่อยู่ในระบบทั้งหมด 90,000 ราย เมื่อเทียบกับคู่แข่งไลน์แมนบอกสูสีกัน หากมีค่าเรียกที่ถูกกว่าอยู่ที่ 20 บาท

ปีหน้าวางแผนขยายประเภทรถที่ให้บริการ จากที่มีเพียงรถเก๋งอย่างเดียว จะเพิ่มรถขนาดใหญ่เข้ามาเพื่อรองรับจำนวนผู้โดยสารที่มากขึ้น และกระเป๋าขนาดใหญ่หากต้องการเดินทางไปสนามบิน รวมไปถึงวางแผนไปยังต่างจังหวัด โดยจะเริ่มจาก “หัวเมืองท่องเที่ยวก่อน”

“ส่งพัสดุ” อีกหนึ่งบริการที่มีการเติบโตอย่างมาก ด้วยอานิสงส์จากมหกรรมช้อปปิ้ง 11/11 และ 12/12 โดยพบว่ามีการเพิ่มขึ้นของผู้ใช้งานส่งพัสดุสูงถึง 4 เท่าเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีที่แล้ว ไลน์แมนมองโอกาสยังสามารถเติบโตได้อีก เพราะปัจจุบันกลุ่มพนักงานบริษัทหันมาขายสินค้าออนไลน์มากขึ้น แต่ไม่สามารถออกไปส่งสินค้าตอนกลางวันได้ ต้องรอเลิกงานถึงจะกลับมาห่อสินค้า ไลน์แมนจึงอุดช่องวางด้วยการขยายเวลาเข้ารับพัสถุถึง 4 ทุ่ม

“แมสเซ็นเจอร์” บริการส่งด่วนในกรุงเทพฯ และปริมณฑล เรียกได้ 24 ชั่วโมง โดยสิ่งของที่นิยมส่งมากที่สุดคือ เอกสารสำคัญ รองลงมา คือ สินค้าแฟชั่นเสื้อผ้า และที่เพิ่มขึ้นในช่วงปลายปีนี้ คือ การส่งกระเช้าและของขวัญปีใหม่

ผู้บริการไลน์แมนฉายภาพให้เห็นถึงบริการที่คนทั่วไปไม่ค่อยนึกถึง แต่เกิดคำสั่งกับแมสเซ็นเจอร์จริงในไลน์แมน มีทั้งให้จองร้านอาหาร หรือโต๊ะในผับ รวมไปถึงให้ไปซื้อบัตรคอนเสิร์ต ไลน์แมนวางแผนเพิ่มคำสั่งบริการพื้นฐานเข้าอีก แต่ทั้งนี้ต้องดูก่อนว่าบริการที่จะเพิ่มเข้าไปมีทรานแซคชั่นมากน้อยแค่ไหน และจะสร้างอิมแพกต์ให้กับคนทั่วไปหรือไม่

บริการนี้แข่งกันที่ความเร็วในการรับงาน โดยตอนนี้ทำได้เร็วขึ้น 10% จาก 13.9 วินาทีเป็น 12.3 วินาที อีกอย่างคือความสะดวกในการให้บริการ ไลน์แมนวางแผนปรับปรุงระบบการขอใบกำกับภาษีให้เร็วยิ่งขึ้น รวมถึงขยายการรับชำระเงินจากเงินสดไปสู่ E-payment เช่น “แรบบิท ไลน์ เพย์” อีกหนึ่งบริการที่อยู่ภายใต้ร่มเงาของ “ไลน์ ประเทศไทย” เช่นเดียวกัน

สุดท้าย สั่งของจากร้านสะดวกซื้อขณะนี้ไลน์แมนกำลังเจรจาในการเพิ่มร้านค้าเข้ามา จากปัจจุบันที่มีเพียง 7-Eleven โดยร้านใหม่ๆ อาจจะไม่ได้จำกัดแค่ร้านสะดวกซื้อ มีความเป็นไปได้ที่จะเพิ่มร้านโมเดิร์นเทรด์อื่นๆ เช่น ซูเปอร์มาร์เก็ต

อย่างไรก็ตาม ในปี 2019 “ไลน์แมน” ต้องเผชิญกับ “คู่แข่งหน้าใหม่” ที่เพิ่งเผยตัวออกมา ทั้ง 7-Eleven ที่เริ่มให้บริการรับซื้อและส่งสินค้าจากในร้าน โดยผู้บริหารไลน์แมนให้ความเห็นต่อกรณีนี้ว่า ถึงจะเพิ่มเข้ามาแต่เป้าหมายไม่ได้เป็นกลุ่มเดียวกัน เพราะ 7-Eleven ใช้พนักงานไปส่งเองจึงมีข้อจำกัดด้านพื้นที่ ส่วนไลน์แมนมีพื้นที่ไกลมากกว่า

นอกจากนี้ยังมี “Get!” ซับแบรนด์ที่เอาไว้ใช้ในเมืองไทยของ “Go-Jek” แพลตฟอร์มให้บริการแบบออนดีมานด์จากประเทศอินโดนีเซีย ที่เริ่มทดลองให้บริการแล้วในกรุงเทพฯ กับ 2 บริการเรียกวินมอเตอร์ไซค์ (GET WIN) และส่งของ (GET DELIVERY)

การเข้ามาของ Get! ไลน์แมนมองว่า เป็นเรื่องที่ดีในแง่การแข่งขัน เพราะสุดท้ายแล้วการสั่งให้การใช้บริการแอป O2O (Online To Offline) ยังเป็นบริการที่ใหม่สำหรับคนไทย การมีผู้เล่นเข้ามาใหม่ซึ่งจะต้องกระตุ้นช่วงแรกด้วยโปรโมชั่นและการสื่อสาร จะทำให้คนที่เห็นอยากทดลองใช้งานบ้าง สุดท้ายฐานลูกค้าโตทั้งหมด

“ไลน์แมนได้เปรียบจากการที่อยู่ในไทยมานาน และเป็นส่วนหนึ่งของไลน์ที่มีผู้ใช้งานกว่า 44 ล้านคน ซึ่งจะเห็นได้ว่าบริการต่างๆ ไลน์แมนไม่ได้เป็นรายแรกที่ทำ แต่ขึ้นอยู่กับว่าใครสามารถแก้ Painpoint และสร้างบริการที่ตรงใจมากกว่า ก็จะได้ฐานลูกค้าไป”

อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับจำนวนผู้ใช้งานของไลน์ทั้งหมด 44 ล้านราย ไลน์แมนยังมีผู้ใช้งานเพียง 1.5 ล้านรายต่อเดือน จึงมองว่ายังมีโอกาสอีกมากสำหรับตัวเอง โดยฐานลูกค้าส่วนใหญ่ตอนนี้อายุ 24-35 ปี ต่อไปวางแผนเจาะกลุ่มที่เหลือมากขึ้น

ทั้งกลุ่มต่ำกว่า 24 ปีที่แม้กำลังซื้อไม่มาก หากเป็นกลุ่มที่คุ้นเคยกับสมาร์ทโฟน และสั่งซื้อของออนไลน์อยู่แล้ว จึงไม่ยากที่จะดึงเข้ามา ส่วนมากกว่า 35 ปีถึงจะไม่คุ้นกับเทคโนโลยีมากนัก หากมีเงินและเวลาที่จำกัด จึงอยากได้บริการเข้ามาอำนวยความสะดวก

ขณะนี้ไลน์แมนยังไม่ได้ทำ “กำไร” เพราะยังอยู่ในช่วงลงทุน เพื่อสร้างการเติบโตของฐานผู้ใช้งาน โดยปี 2019 ไลน์แมนอยากมีอัตราเติบโตระดับตัวเลข 3 หลักในทุกบริการ.