เมื่อปลายเดือนมิถุนายน 2018 ที่ผ่านมา หลายคนคงได้ยินข่าวที่ “Get!” (เก็จ) แอปพลิเคชั่นเรียกรถสาธารณะแบบออนดีมานด์ เตรียมเปิดให้บริการในกรุงเทพมหานคร และหลังจากปล่อยให้รอเกือบครึ่งปีในที่สุด “Get!” ก็เริ่มออกให้บริการแล้ว
เบื้องต้นจะเริ่มเปิดทดสอบให้แก่ผู้ใช้งานสมาร์ทโฟน ในระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ก่อน โดยเฉพาะผู้ที่ลงทะเบียนล่วงหน้าจะได้รับอีเมล พร้อมกับลิงก์สำหรับดาวน์โหลด เพื่อใช้บริการเรียกวินมอเตอร์ไซค์ (GET WIN) และส่งของ (GET DELIVERY) ฟรี ตลอดช่วงเบต้า
สำหรับบริการเรียกรถมอเตอร์ไซค์จะใช้เฉพาะพี่วินที่ถูกกฎหมายเท่านั้น เมื่อเข้าไปในแอปจะเห็นว่าสามารถใช้บริการได้ฟรีภายในระยะทาง 6 กิโลเมตร ใน 3 เขต ได้แก่ ลาดพร้าว วังทองหลาง และจตุจักร ทั้งนี้ เมื่อสอบถามไปยัง “Get!” ระบุว่า ในช่วงเบต้า จะเปิดให้บริการแค่ใน 3 เขตนี้เท่านั้น และโซนอื่นจะเปิดทดลองให้บริการในอนาคต ซึ่งถือเป็นแนวโน้มที่ดี เนื่องจากในประเทศไทยเกิดการผูกขาดจากผู้ให้บริการรายเดียวอยู่ในปัจจุบัน
แน่นอนการเข้ามาของ Get! ต้องการทำให้วงการแอปพลิเคชั่นเรียกรถสาธารณะในไทยต้องถูกจับตามองอีกครั้ง เพราะวันนี้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับ “แชริ่งอีโคโนมี” (Sharing Economy) ยังไม่มีความชัดเจนมากนัก เมื่อเทียบกับหลายประเทศเพื่อนบ้านเช่น เวียดนาม มาเลเซีย ที่มีกฎหมายเข้ามาควบคุมอย่างเป็นรูปธรรม แม้จะผู้ให้บริการหลายรายจะย้ำเสมอว่า ได้คุยกับกรมการขนส่งทางบกอย่างใกล้ชิดแล้วก็ตาม
ขณะเดียวกัน Get! ต้องเตรียมรับน้องให้ดีกับเจ้าถิ่นทั้งบริการเรียกวินมอเตอร์ไซค์ที่มี “Grab” ผูกขาดเป็นผู้ให้บริการรายเดียวอยู่ในปัจจุบัน และเพิ่งประกาศดึง BNK48 มานั่งแทนแบรนด์แอมบาสเดอร์ที่แรกของภูมิภาคอีกด้วย
ส่วนบริการส่งของก็มี “LINE MAN” ที่เพิ่งประกาศครบรอบ 2 ปีเติบโตกว่า 500% หรือจะเป็น “ลาล่ามูฟ” ที่บุกเข้าไทย 4 ปีแล้ว และมีคนขับอยู่ในระบบกว่า 800,000 ราย
Get! คงประเมินแล้วว่า แม้จะมีเจ้าถิ่นที่แข็งเกร่ง แต่โอกาสในเมืองไทยยังมีให้กอบโกยอีกเยอะ เพราะเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว “Google” ได้ออกมาเปิดเผยถึงมูลค่าเศรษฐกิจดิจิทัลในประเทศไทย จะพุ่งขึ้นเป็น 4.3 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (ราว1.4 ล้านล้านบาท) โดย “บริการร่วมเดินทาง (Ride Hailing)” จะเติบโตขึ้นไปอีกจากมูลค่าตลาดปัจจุบันอยู่ที่ 700 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็น 4 พันล้านเหรียญสหรัฐ ภายในปี 2025
สำหรับ “Get!” เป็นซับแบรนด์ที่เอาไว้ใช้ในเมืองไทยของ “Go-Jek” แพลตฟอร์มให้บริการแบบออนดีมานด์จากประเทศอินโดนีเซีย โดยการเจาะเข้าสู่เมืองไทยเป็นส่วนหนึ่งของการแถลงงบลงทุนรวมกว่า 500 ล้านเหรียญสหรัฐ (หรือราว 16,000 ล้านบาท) เมื่อเดือนพฤษภาคม เพื่อขยายธุรกิจเข้าสู่ประเทศเวียดนาม สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ และประเทศไทย
โดยการประกาศดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่ “Go-Jek” ได้ทำการเพิ่มทุน โดยได้รับการสนับสนุนจากบริษัทชั้นนำต่างๆ อาทิ กูเกิล (Google), วอร์เบิร์ก พินคัส (Warburg Pincus), เคเคอาร์ (KKR), เทนเซ็นต์ (Tencent) และเหม่ยถวน–เตี้ยนผิง (Meituan-Dianping).
Source
- https://mgronline.com/cyberbiz/detail/9610000121324
- https://mgronline.com/cyberbiz/detail/9610000063033