“อาวดี้” จุดพลุ EV สัญญาณมาเร็ว “แสนสิริ” ร่วมพันธมิตร “โก กรีน” เปลี่ยนรถผู้บริหาร หนุน “คาร์ แชริ่ง”

วันนี้นโยบายภาครัฐที่ให้การสนับสนุน Electric Vehicle (EV) พร้อมแก้ไขปัญหามลภาวะผ่านอุตสาหกรรมยานยนต์ เริ่มมีความชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ ในฝั่งผู้บริโภคเห็น “ดีมานด์” จากตัวอย่างการใช้งานจริงในต่างประเทศ ขณะที่ผู้ประกอบการเองมีความพร้อมทำตลาดด้วยราคาที่จับต้องได้ ทำให้อนาคตของ EV มาถึงเร็วกว่าที่คิด

กฤษฎา ล่ำซำ ประธานกรรมการและประธานคณะกรรมการบริหาร อาวดี้ ประเทศไทย กล่าวว่า หลังจาก AUDI AG เปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้า 100% Audi e-tron ในเดือนกันยายน 2018 ที่สหรัฐฯ พบว่าได้รับเสียงตอบรับดีจากตลาดทั่วโลก ด้วยยอดจองกว่า 20,000 คัน โดยวางแผนจะเปิดรถอีวีปีละ 2 รุ่น ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความพร้อมของการใช้งานของผู้บริโภคในตลาดรถอีวี

สำหรับทิศทางอีวีในประเทศไทย ต้องบอกว่าวันนี้ทั้งนโยบายและมาตรการภาครัฐที่ให้การสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้าและการติดตั้งสถานีชาร์จไฟฟ้า ซึ่งจะช่วยแก้ไขปัญหามลภาวะและสิ่งแวดล้อมผ่านอุตสาหกรรมยานยนต์ ลดผลกระทบจากปัญหาฝุ่น PM2.5 ที่เกิดขึ้นในขณะนี้

กฤษฎา ล่ำซำ

ด้านความต้องการของผู้บริโภคในตลาดไทยเริ่มชัดเจนมากขึ้น หลังจากเห็นการใช้งานได้จริงในต่างประเทศ อีกแรงผลักดันมาจากองค์กรเอกชนที่มีนโยบายขับเคลื่อน Green Ecosystem ทั้งหมดล้วนเป็นปัจจัยสนับสนุนการทำตลาดรถอีวีในประเทศไทยให้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

สิ่งที่สัมผัสได้ เชื่อว่าอนาคตรถอีวีในไทยมาเร็วกว่าที่คิด จากทั้งปัจจัยสนับสนุนและสิ่งที่บีบคั้น

เปิดตัวอีวี เคาะราคา 5 ล้าน

จากแนวโน้มตลาดรถอีวีที่มาเร็ว อาวดี้ จึงได้เปิดตัวจำหน่าย Audi e-tron ยนตรกรรมเอสยูวีพรีเมียม 5 ที่นั่ง รุ่น Audi e-tron 55 quattro ในประเทศไทย ราคา 5,099,000 บาท มอเตอร์ไฟฟ้าทั้ง 2 ตัว ให้กำลังสูงสุด 266 กิโลวัตต์ หรือ 360 แรงม้า ทำความเร็วสูงสุดได้ 200 กม./ชม. รับประกันแบตเตอรี่ 8 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตร และรับประกันรถใหม่ 5 ปี หรือระยะทาง 150,000 กิโลเมตร โดยเป็นรถยนต์นำเข้าและผลิตจากโรงงานของอาวดี้ในเมือง บรัสเซลล์ ประเทศเบลเยียม ประเทศไทยเปิดตัวทำตลาดรถอีวี Audi e-tron เป็นประเทศแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

โดย Audi e-tron เป็น Full EV ที่ใช้งานได้จริง ด้วยราคาที่จับต้องได้ในตลาดรถลักชัวรี่ ก่อนเคาะราคาขายที่ 5 ล้านบาท กระแสในโลกโซเชียลคาดเดาว่าราคาน่าจะอยู่ที่ 6-7 ล้านบาท ด้วยราคาดังกล่าวหากโครงสร้างพื้นฐานประเทศไทยด้านสถานีชาร์จไฟฟ้า มีรองรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รถอีวีจะเป็นอนาคตของโลกและของประเทศไทย

วันนี้อนาคตของรถไฟฟ้ากำลังจะเกิด และอาวดี้ เป็นรถยนต์เซ็กเมนต์พรีเมียม ลักชัวรี ที่กระโดดเข้ามาทำตลาดในเวลาที่ถูกต้อง เรียกว่าไม่เร็วเกินไป ไม่ช้าเกินไป

อาวดี้ เปิดให้ลูกค้าพรีออเดอร์รถอีวี Audi e-tron 55 quattro ตั้งแต่วันนี้ คาดว่าจะส่งมอบรถได้ตั้งแต่ปลายปีนี้ถึงต้นปี 2020 โดยวางเป้าหมายยอดขายรถอีวีมีสัดส่วน 5-8% ในปี 2020

สำหรับคนที่จะซื้อรถอีวีวันนี้ คงเป็นกลุ่มที่ซื้อรถคันที่สอง และเน้นใช้งานในกรุงเทพฯ เป็นหลัก เพราะหากจะขับข้ามจังหวัดจะต้องรอโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ด้านการติดตั้งสถานีชาร์จไฟฟ้า ถ้าขยายตัวได้เร็วและระบบชาร์จไฟฟ้าต่อครั้งทำได้เร็วขึ้น จะเป็นปัจจัยผลักดันการเติบโตของรถอีวีอย่างรวดเร็ว

กฤษฎา กล่าวว่า อีกจุดเปลี่ยนสำคัญของการขับเคลื่อนรถอีวีในไทยและการผลักดันให้ประเทศไทยเป็น smart city คือการสนับสนุนนโยบายรักษาสิ่งแวดล้อมของบริษัทเอกชน ด้วยการใช้รถอีวี โดยอาวดี้และแสนสิริได้ร่วมมือกันเพื่อร่วมกันยกระดับ Green Ecosystem โดยแสนสิริเริ่มนำร่องใช้งาน Audi e-tron ภายในองค์กรและในโครงการที่อยู่อาศัย ทำให้อาวดี้สามารถนำเข้ารถอีวีมาทำตลาดในประเทศไทยได้อย่างรวดเร็ว

“หลังการเปิดตัว Audi e-tron ที่สหรัฐฯ ปีก่อน คุณอภิชาติ จูตระกูล (ประธานอำนวยการ แสนสิริ) ก็บอกทันทีว่าสนใจและต้องการใช้รถรุ่นนี้ โดยโควต้ารถ Audi e-tron ล็อตแรกจะส่งมอบให้แสนสิริทั้งหมด”  

“แสนสิริ” ชู Green Mission

อภิชาติ จูตระกูล ประธานอำนวยการ บริษัทแสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “แสนสิริ” มีวิสัยทัศน์ด้าน Green Mission เพื่อขับเคลื่อนองค์กรสู่ความยั่งยืนและตั้งเป้าสร้าง Green Ecosystem ภายใน 3 ปี

หนึ่งในเป้าหมายคือ โครงการ Smart Move แบ่งปันการใช้รถขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า ส่วนกลางสำหรับลูกบ้าน (Sharing Economy) โดยเริ่มต้นจากการนำ Audi e-tron รถยนต์ไฟฟ้า 100% มาใช้ในองค์กรแสนสิริ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงดีเอ็นเอขององค์กรในด้านนี้

ในการร่วมมือเป็นพันธมิตรกับ อาวดี้ ประเทศไทย ครั้งนี้ จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง 3 ด้าน ทั้งภายในและภายนอกองค์กรแสนสิริ ประกอบด้วย

1.เปลี่ยนมาใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้า

ส่งเสริมให้ลูกบ้านใช้รถอีวี เพื่อสร้างโลกสีเขียว ทั้งโครงการแนวราบและแนวสูง โดยเตรียมขยายการติดตั้ง EV charger station ในโครงการใหม่บ้านเดี่ยวระดับเซ็กเมนต์ B ขึ้นไป โดยเตรียมระบบไฟ 3 เฟสรองรับการใช้งานสำหรับชาร์จไฟรถอีวี และทุกโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ที่สร้างตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นไป

2.เปลี่ยนมาใช้ Luxury Electric Car Sharing

โดยร่วมกับอาวดี้ ส่งเสริมให้ลูกบ้านกลุ่มระดับลักชัวรีใช้ระบบ Car Sharing ด้วยรถอีวี สำหรับส่วนกลางในโครงการไฮเอนด์ใหม่ในปีนี้ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ลูกบ้านในเมือง สำหรับการเดินทางระยะสั้น จองการใช้งานผ่าน Sansiri Home Service Application เริ่มต้นที่โครงการ เดอะ โมนูเม้นท์ ทองหล่อ

3.เปลี่ยนรถยนต์ที่ใช้งานภายในองค์กรเป็นระบบไฟฟ้า

แสนสิริ เป็นองค์กรแรกในเอเชียในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ ที่นำรถอีวี Audi e-tron มาใช้ภายในองค์กร โดยจะเปลี่ยนรถยนต์ผู้บริหารระดับสูง 20 คัน เป็นรถไฟฟ้า 100% ของอาวดี้ และขยายสู่การใช้งานในส่วนอื่นๆ ขององค์กรต่อไป เพื่อสร้าง Green Ecosystem

อาวดี้” พอใจสร้างแบรนด์ “ตัวเลือก”

หลังจากได้รับสิทธิจำหน่ายรถยนต์ “อาวดี้” ปลายปี 2016 จากนั้นเปิดตัว “อาวดี้ ไทยแลนด์” ในเดือนมีนาคม 2017

กฤษฎา บอกว่า ช่วง 2 ปีแรกของการทำตลาดหากมองด้านยอดขาย เรียกว่า “ค่อยๆ โต” ปี 2017 มียอดขายอยู่ที่ 600 คัน ปี 2018 เพิ่มเป็น 1,002 คัน ปีนี้วางเป้าหมายเติบโต 20% หรือ 1,200 คัน การทำงานต้องบอกว่าไปทีละสเต็ป และคงไม่พูดว่าจะมียอดขายเป็นหมื่นคัน เพราะในอุตสาหกรรมรถยนต์ อาวดี้เพิ่งทำตลาดจริงจังมา 2 ปี สิ่งที่ต้องทำคือ สร้างความมั่นใจให้ผู้ขับขี่อาวดี้ และให้ความสำคัญกับเซอร์วิสหลังการขาย

ในอุตสาหกรรมรถยนต์ เรามองตัวเองเป็น เอสเอ็มอี สตาร์ทอัพ ที่ขอเป็นทางเลือกอีกแบรนด์ในกลุ่มลักชัวรี่”

การทำตลาดช่วง 2 ปีที่ผ่านมา พยายามสร้างแบรนด์และทำตลาดให้อาวดี้เป็น “ตัวเลือก” อีกแบรนด์ วันนี้ทำให้คนที่ต้องการซื้อรถเซ็กเมนต์ลักชัวรี่ หันมาพิจารณาหรือลองขับ “อาวดี้” ได้ ก็ถือเป็นสิ่งที่พอใจ และสร้างแบรนด์ประสบความสำเร็จไปอีกขั้น จากเดิมที่ลูกค้าอาจไม่นึกถึงแบรนด์อาวดี้ และหากดีที่สุด คือการ “ตัดสินใจซื้อ” และสเต็ปต่อไปกลายเป็น Loyalty Customer จะถือเป็นความสำเร็จของการสร้างแบรนด์มากที่สุด ซึ่งถือเป็น “โจทย์” สำคัญในวันนี้

กฤษฎา บอกว่า จากประสบการณ์การทำงานที่ธนาคารกสิกรไทย “คุณบัณฑูร ล่ำซำ ให้ความสำคัญกับเรื่อง Customer Centric การยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลางอย่างมาก เมื่อก้าวสู่อุตสาหกรรมรถยนต์ จึงใช้หลักคิด ลูกค้าเป็นศูนย์กลางเช่นกัน มุ่งไปที่การบริหารหลังการขาย สร้างความพอใจและความมั่นใจให้ลูกค้าในการใช้งาน และการนำเข้ารถยนต์รุ่นต่างๆ จะเลือกรถมาจำหน่ายที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า

ปัจจุบันมีโปรดักต์รถยนต์ทำตลาด 14 โมเดล 23 รุ่น ถือว่ามีจำนวนมากพอสมควร แสดงให้เห็นว่า อาวดี้ “ทำตลาดอย่างจริงจัง” และจะเปิดตัวโมเดลใหม่อย่างต่อเนื่อง ภายในสิ้นปีนี้จะมี 19 โมเดล 30 รุ่น ช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาเปิดตัวไปแล้ว 3 รุ่น เรียกว่ากลยุทธ์เชิงโปรดักต์มาแบบ “จัดเต็ม”