ปักหลักอยู่ในแวดวง “วิทยุ” มากกว่า 30 ปี สำหรับ “เอ–ไทม์” ท่ามกลางคลื่นลมอันผันผวนที่ทำให้เม็ดเงินโฆษณาติด “ตัวแดง” มากกว่า “ตัวเขียว” 10 ปีมานี้ข้อมูลจากนีลเส็นระบุว่า ตัวเลขเงินหายไปกว่า 1,300 ล้านบาท ทำให้ข่าวที่ได้รับอยู่เนื่องๆ จึงเป็นการปิดคลื่นมากกว่าจะเปิดใหม่ หรือไม่งั้นก็หันไปลุยออนไลน์เต็มตัว เพราะผู้บริโภคเทไปทางนั้นหมดแล้ว
ยิ่งงบโฆษณาในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2019 ลดลง 1.25% เหลือ 41,000 ล้านบาท ส่วนวิทยุหายไปราว 5% จาก 1,848 ล้านบาท เหลือ 1,758 ล้านบาท แต่ “เอ–ไทม์” บอกว่าตัวเองนั้นอยู่ในระดับทรงตัวมีการเติบโตอยู่บ้าง อย่างปีที่ผ่านมารายได้รวม 700 ล้านบาท เติบโตราว 10% มีส่วนแบ่งการตลาดกว่า 27.5% จากภาพรวมตลาดที่มี 10 กว่าคลื่นซึ่งเป็นรายใหญ่ๆ ทั้งนั้น
สมโรจน์ วสุพงศ์โสธร กรรมการผู้จัดการ บริษัท จีเอ็มเอ็ม มีเดีย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ถึงแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งจะกำลังเติบโต แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ว่าคนไม่ฟังวิทยุกันเลย ยังมีคนฟังอยู่เพียงแต่เปลี่ยนรูปแบบการฟังจากเครื่องรับไปสู่รูปแบบอื่นๆ ทั้งคอมพิวเตอร์ และสมาร์ทโฟน
เสน่ห์ของวิทยุที่สตรีมมิ่งไม่สามารถทำแทนได้คือ เพลง ดีเจที่พูดให้ฟังเป็นเพื่อน และข่าวสารต่างๆ ที่อัพเดตให้ฟังทุกชั่วโมง ซึ่งวันนี้สิ่งที่เราพบคือกว่า 50% ของการฟังคลื่นมาจากสมาร์ทโฟน ซึ่งมีอัตราการฟังเฉลี่ย 52 นาทีต่อวัน มากกว่าปีก่อนที่อยู่ราว 48 นาทีต่อวันเท่านั้น
ที่ผ่านมา “เอ–ไทม์” มีการเตรียมตัวสำหรับเรื่องออนไลน์มาไม่แล้วนับ 10 ปี โดยวันนี้ผ่านจุด Disruption และ Transformation ไป 2-3 ปีแล้ว ซึ่งในส่วนของออนไลน์ได้เริ่มจริงจังตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา ผลปรากฏว่าการตอบรับเป็นไปได้ดีหากนับทั้ง 3 คลื่นที่มีอยู่มีคนฟังสะสม 16 ล้าน User ต่อเดือน
รายการที่ประสบความสำเร็จก็เช่น “พุธทอล์คพุธโทร” มียอดฟังสะสม 7 ล้านครั้ง เฉลี่ยอาทิตย์ละ 5 แสนครั้ง โดยรายการนี้มีอายุ 4 ปี หรือ “จันทร์ช็อคโลก” ยอดฟังสะสม 5 ล้านครั้ง เฉลี่ยอาทิตย์ละ 8 แสนครั้ง ส่วนแอปพลิเคชั่นมียอด Downloads 5.5 ล้านครั้ง
วันนี้ “เอ–ไทม์” ระบุว่าตัวเองนั้นไม่ได้อยู่เป็นวิทยุอย่างเดียว แต่เป็น “คอนเทนต์โพรวายเดอร์“ ซึ่งธุรกิจได้แตกออกเป็น 6 ขา ทั้งวิทยุจำนวน 3 คลื่นซึ่งทำรายได้กว่า 70% ส่วนที่เหลืออีก 30% มาจากทั้งแอปพลิเคชั่น ออนไลน์ คอนเทนต์ออนไลน์ โชว์บิซ และการจัดกิจกรรมต่างๆ
โดยสเต็ปต่อไปที่จะทำคือโมเดลธุรกิจ “A-Time Media Solutions 360 องศาที่เป็นมากกว่าวิทยุ” โดยจะทำคอนเทนต์ที่จากวิทยุ ขยับไปสู่ช่องทางต่างๆ ให้มากขึ้น เนื่องจากเห็นว่าทั้ง 3 คลื่นต่างมีจุดแข็งของตัวเองทั้งนั้น อย่าง “กรีนเวฟ 106.5 เอฟเอ็ม” กลุ่มผู้ฟังต้องการความสนุกไปพร้อมกับสาระบันเทิง ชอบเรื่องสิ่งแวดล้อมและการกุศล
ส่วน “อีเอฟเอ็ม 94” เป็นเรื่องของความสนุก มุกขำขัน เปิดเพลงทุกแนว และ “ชิล ออนไลน์” คนฟังชอบเปิดเอาไว้เป็นเพื่อนทำงาน นอกจากเพลงแล้วดีเจก็จะพูดคุยเรื่องกิน เที่ยวด้วย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขึ้นไปอยู่บนหน้าจอ “ทีวี” ซึ่งอย่างที่รู้กัน เป็นเซ็กเมนต์ที่ครองงบโฆษณามากกว่า 50% เพื่อสร้างความหลากหลายให้กับลูกค้าที่จะมาลงโฆษณา ด้วยการเปิดโฆษณาคั่น หรือ Tie-in สินค้าไม่เพียงพอที่จะสร้างความต่างอีกต่อไป ซึ่งอย่างที่รู้กันเรตโฆษณาไม่สามารถเพิ่มได้ จึงต้องปรับแพ็กไปรวมกับการทำอย่างอื่นมากขึ้น เพื่อสร้างความคุ้มค่า
ที่ผ่านมาการต่อยอดไปสู่ทีวีมีบ้างแล้ว เช่นรายการแฉที่ทำมานานกว่า 10 ปี ได้ถูกนำไปทำเป็นรายการ โดยรายการที่มีแนวโน้มขยายคือ “พุธทอล์คพุธโทร” วางแผนจะนำไปผลิตซีรีส์เบื้องต้นลงไปลงในออนไลน์ก่อน โดยจะลงทุนผลิตเอง หรือรายการ “อังคารคลุมโปง” เกี่ยวกับการเล่าเรื่องสยองขวัญต่างๆ ก็มีแนวโน้วที่จะหยับมาทำ
ส่วนรายการทอล์คปีหน้าเตรียมเพิ่มรายการอีก โดยหลักของการเลือกว่าจะทำรายการแนวไหน จะมาจากแนวโน้มของของผู้ชม แล้วค่อยเลือกดีเจมาทำหน้าที่ ขณะเดียวกันตัว “ดีเจ” ทั้งหมด 20 กว่าคน นอกจากจัดรายการแล้วก็ยังสามารถทำหน้าที่เป็น “อินฟลูเอนเซอร์” ให้กับสินค้าได้ด้วย
เร็วๆ นี้เตรียมค้นหาดีเจหน้าใหม่ที่ไม่ได้จัดแค่รายการ แต่ยังต้องรองเพลงหรือเล่นละครได้ด้วย เพื่อซัพพอร์ตสิ่งที่กำลังจะตามมาในอนาคต
นอกจากนั้นแล้วยังมีการเพิ่มโมเดลใหม่ๆ ในการหารายได้เช่นการทำ “วิทยุช้อปปิ้ง” ซึ่งได้ทดลองแล้วกับ “โอช้อปปิ้ง” สิ่งที่พบคือแม้ยอดขายจะน้อยกว่า 50% แต่ทั้งคู่มองว่าจะยังมีลูกเล่นใหม่ๆ ที่จะมาทดแทนในสิ่งที่ทีวีทำไม่ได้