ภายใต้ธุรกิจของ “บุญรอดบริวเวอรี่” ไม่ได้มีแค่กลุ่มเครื่องดื่มและอาหารเท่านั้น แต่เมื่อ 5 ปีก่อนได้สนใจในการทำธุรกิจด้านการลงทุนและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ จึงได้ก่อตั้ง “สิงห์ เอสเตท” โดยวางธุรกิจออกเป็น 3 ขาหลัก ได้แก่ ธุรกิจอาคารสำนักงาน และพื้นที่ค้าปลีก, ธุรกิจโรงแรม และธุรกิจที่พักอาศัย
ที่ผ่านมามีการลงทุนนับ “หมื่นล้าน” ล้านบาทมาทุกปีจนมาถึงในปี 2019 “นริศ เชยกลิ่น” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทสิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) บอกว่าจะเป็นปีแห่งการเก็บเกี่ยวดอกผลที่ลงทุนลงแรงไป
จนถึงตอนนี้ สิงห์ เอสเตท มียอดขายรอโอน (Backlog) ในมือ มูลค่ารวม 12,000 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ส่วนใหญ่ในปี 2019 และที่เหลือในปี 2020 สำหรับในปีนี้คาดว่าจะเริ่มสามารถรับรู้รายได้จากโครงการต่างๆ
ทั้ง The ESSE Asoke ที่เหลือการโอนอีกราว 10% ส่วนใหญ่เป็นนักลงทุน และ The ESSE at Singha Complex จะเริ่มโอนให้กับลูกค้าตั้งแต่ไตรมาส 3 เป็นต้นไป และยังมี Santiburi the Residences ที่ขายไป 6 หลังจากทั้งหมด 26 หลัง
“ถึงแม้ว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์จะมีการปรับตัวจากปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ เช่น เศรษฐกิจที่ชะลอตัว และนโยบายกำกับดูแลสินเชื่อของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ส่งผลกระทบต่อผู้ซื้อบ้าน แต่ สิงห์ เอสเตท ยังคงเดินหน้าลงทุนและพัฒนาโครงการตามแผนที่วางไว้ โดยมีความยืดหยุ่นในการดำเนินธุรกิจ พร้อมรับความท้าทายของตลาดอสังหา”
ในปีนี้ได้เตรียมงบลงทุน 8,000-10,000 ล้านบาท เพื่อสร้างรายได้ให้ถึง 20,000 ล้านบาท ภายในปี 2020 สำหรับไตรมาส 1 ของปี 2019 รายได้รวมทั้งสิ้น 3,000 ล้านบาท สูงขึ้นมากกว่า 160% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้าและ มีกำไรสุทธิ 293 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13%
แผนในครึ่งปีนี้นอกเหนือจากเตรียมแยกธุรกิจโรงแรมเข้า IPO ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ภายใต้ชื่อ “บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน)” ในส่วนของกลุ่มธุรกิจอาคารสำนักงานและพื้นที่ค้าปลีก มีอาคารสำนักงาน Oasis บนถนนวิภาวดี-รังสิต มีทั้งหมด 36 ชั้น มีพื้นที่ให้เช่า (NLA) ประมาณ 53,000 ตารางเมตร มูลค่าการลงทุน 3,695 ล้านบาท
คาดใช้เวลาก่อสร้าง 3 ปีจะแล้วเสร็จในปีช่วงครึ่งปีหลัง 2021 อาคารแห่งนี้ สิงห์ เอสเตท วางแผนที่จะทำเป็นสำนักงานใหญ่ของตัวเอง แต่ขณะนี้ “นริศ” เผยว่ามีบริษัทขนาดใหญ่ของไทย ได้สนใจที่จะเช่าทั้งตึกแต่ยังอยู่ในระหว่างการพูดคุย
ด้านธุรกิจที่พักอาศัยจะมีการโครงการคอนโดมิเนียมแห่งใหม่ ซอยรางน้ำ โดยมีมูลค่าโครงการ 4,500 ล้านบาท อยู่ในเซ็กเมนต์ Luxury แต่จะใช้แบรนด์ใหม่ซึ่งจะเป็นรองจากแบรนด์ The ESSE ตาดเปิดไตรมาส 3
นอกจากนี้ยังมี The ESSE at Singha Complex ที่เก็บไว้ 2 ชั้น หรือคิดเป็นพื้นที่ 10% ของทั้งหมด ประมาณ 22 ห้อง โดยจะนับมาตกแตกใหม่และเปิดขายในราคา 300,000 บาทต่อตารางเมตร แพงขึ้นจากช่วงเปิดตัว 40,000 บาท วางแผนเปิดขายให้กับบริษัทที่มาเช่าใน Singha Complex ที่ต้องการที่พักไว้เป็นสวัสดิการ
ขณะเดียวกัน “สิงห์ เอสเตท” จากเป้าหมายที่วางไว้จะเป็น “โกลบอล โฮลดิ้ง คัมปานี” (Global Holding Company) ผ่านกลยุทธ์การขยายธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ และการสร้างแบรนด์ในระดับพรีเมียม ล่าสุดมีความสนใจที่จะไปลงทุนพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศ โดยช่วงแรกมองเมียนมาและเวียดนามไว้
สำหรับในเมียนมาได้เข้าไปดูบ้างแล้ว เนื่องจากนักธุรกิจรายใหญ่ที่ทำเกี่ยวกับเหมืองหยกและทับทิม ได้แสดงความสนใจที่จะร่วมทุนกับสิงห์ เอสเตท เบื้องต้น “นริศ” ระบุว่า กำลังอยู่ในระหว่างการศึกษา แต่ถ้าไปทำจริงคงจะอยู่ในรูปแบบ “มิกซ์ยูส” ในระดับพรีเมียม เพราะนักธุรกิจที่ชวนมีที่ดินในกรุงย่างกุ้งอยู่แล้ว แต่หากทำจริงคงต้องซื้อเพิ่มซึ่งที่ดินก็ไม่ถูกเกือบล้านบาทต่อตารางวา
“ความน่าสนใจของเมียนมาอยู่ที่ยังมีทรัพยากรธรรมชาติเยอะ ประชากรส่วนใหญ่อายุเฉลี่ย 27 ปี นั้นหมายความว่ากลุ่มหลักเป็นวัยทำงาน ขณะเดียวกันอสังหาริมทรัพย์ระดับพรีเมียมยังมีไม่มาก จึงมีโอกาสให้เข้าไปลงทุน”