ในวัย 61 ปี “ดร.แสงสุข พิทยานุกุล” ผู้ที่เชื่อในเรื่องการสร้างแบรนด์และการทำมาร์เก็ตติ้ง ตลอดการทำงานกว่า 35 ปี Smooth E และ Dentiste จึงเป็นแบรนด์เวชสำอางและผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปากของคนไทย ที่แข่งขันได้กับแบรนด์ต่างชาติ และส่งออกไปทำตลาดกว่า 25 ประเทศทั่วโลก วันนี้ในมุมธุรกิจถือว่า “อยู่ตัว” มีกำไรเข้ามาต่อเนื่อง จึงสานต่ออีกความเชื่อที่ว่า Give Before Take ให้เข้มข้น
“บางครั้งการทำธุรกิจ ที่ได้เงินมามากหมายมหาศาล ไม่ได้มีความสุขเสมอไป แต่การได้ส่งมอบสิ่งดีๆ คืนให้สังคมถือเป็นความสุข” ดร.แสงสุข พิทยานุกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามเฮลท์ กรุ๊ป และ บริษัท สมูท อี จำกัด ให้มุมคิด
การทำงานวันนี้ จึงต้องการทำสิ่งใหม่ๆ และแบ่งปันประสบการณ์และความรู้การทำธุรกิจให้กับผู้ประกอบการรุ่นใหม่ หลักการทำงานในแต่ละวันจึงแบ่งเวลาให้ 8 เรื่องที่ต้องทำทุกวัน คือ BMWSEEFG
- B : Book ต้องอ่านหนังสือวันละ 1 ชั่วโมง
- M : Meditation นั่งสมาธิวันละ 1 ชั่วโมง
- W : Work ทำงานวันละ 10 ชั่วโมง
- S : Sleep นอนวันละ 6 – 8 ชั่วโมง
- E : Exercise ออกกำลังกายวันละ 1 ชั่วโมง
- E : Eat รับประทานอาหารวันละ 1 ชั่วโมง
- F : Family & Friends ให้เวลากับครอบครัวและเพื่อนอย่างน้อย 1 ชั่วโมง
- G : Give คือการทำอะไรให้กับสังคมและนึกถึงคนอื่น 1 ชั่วโมง
ปีนี้ผมวางเป้าหมายไว้ว่าจะให้เงินช่วยเหลือสังคมในทุกๆ ด้าน วันละ 1 ล้านบาท
ดร.แสงสุข บอกว่าได้เริ่มบริจาคมาตั้งแต่ต้นปี การให้มีหลากหลายรูปแบบ เดือนนี้ก็กำลังจะไปบริจาครถบัสคันละ 4 ล้านบาท คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งเป็นคณะและมหาวิทยาลัยที่จบการศึกษา นอกจากนี้ยังได้สร้างห้องแล็บ มูลค่า 2.7 ล้านบาท ให้คณะเภสัชฯ มหาวิทยาลัยมหิดล
การบริจาคเพื่อการศึกษาเป็นสิ่งที่ได้ประโยชน์และชื่นชอบที่จะทำอย่างมาก และยังตั้งมูลนิธิการศึกษา ดร.แสงสุข พิทยานุกุล เพื่อผู้ประกอบการ เป็นการส่งเสริมความรู้และเสริมศักยภาพให้ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ๆ
“เงินบริจาควันละ 1 ล้านบาท ผมมองว่าไม่เยอะ เพราะธุรกิจที่ทำอยู่ก็สร้างรายได้และกำไรเข้ามาทุกปี ทำให้สามารถบริจาคได้ การยิ่งให้จะยิ่งได้ ผมเชื่อแบบนั้นมาตลอด“
บริจาควันละล้านได้คืนมากกว่า
ความตั้งใจที่จะให้และบริจาควันละ 1 ล้านบาทในปีนี้ เพราะต้องการทำสิ่งนี้ให้กับสังคม เมื่อเริ่มให้สิ่งที่ได้กลับมาทันที อย่างแรก คือ “ความสุข” เมื่อคนเรา Happy ก็คิดงานออก แก้ปัญหาได้ และได้ใจคนที่รู้จัก จากนั้นก็มีธุรกิจใหม่ๆ เกิดขึ้นตามมา
“ต่อปีตัวเลขที่บริจาคปีละ 300 – 400 ล้านบาท ผมว่าสิ่งที่ได้กลับมาเกินกว่ามูลค่าที่บริจาค”
สะท้อนได้จากธุรกิจที่เพิ่มขึ้นทุกปี เดือน มิ.ย. ปีนี้ ได้ซื้อกิจการร้านขาย P&F ต้องบอกว่าธุรกิจร้านขายยา เป็นสิ่งที่ใจอยากทำอยู่แล้ว เพราะต้องการยกระดับร้านขายยาและอาชีพเภสัชกร
การได้มีโอกาสซื้อกิจการร้านขายยา P&F จากกลุ่มเภสัชกรผู้ก่อตั้ง ก็มาจากการบริจาคเงินเพื่อสร้างประโยชน์ให้สังคม จึงมีคนแนะนำให้รู้จักกับกลุ่มเภสัชกรที่ทำร้านขายยา P&F ซึ่งก็มีความตั้งใจจะยกระดับวิชาชีพเภสัชกร เช่นกัน แต่ในตลาดร้านขายที่มีการแข่งขันสูงต้องใช้เงินลงทุนเยอะและกำไรไม่มาก จึงทำงานได้ลำบาก
หลังการพูดคุยกับกลุ่มผู้ก่อตั้ง P&F ก็ได้ขายธุรกิจให้ในราคาไม่แพงและยังทำงานร่วมกันต่อ เพื่อทำตามความตั้งใจ ในการพัฒนาร้านขายยาให้มีคุณภาพ คนทั่วไปเข้าถึงได้
อีกมุมของการให้ ดร.แสงสุข เล่าว่า วันเกิดที่ผ่านมา ได้มอบเงิน 1 ล้านบาท ให้พนักงานกว่า 100 คนนำไปแบ่งกัน เพื่อเป็นกำลังใจในการทำงาน สิ่งที่ได้กลับมาคือใจ และประสิทธิภาพการทำงานที่ดี เพราะเชื่อว่า “สิ่งที่ดีที่สุดคือการทำบุญกับมนุษย์ที่มีลมหายใจ”
เงินที่ตั้งใจบริจาคปีนี้ 300 – 400 ล้านบาท มาจากกำไรของธุรกิจเดิม และมีธุรกิจใหม่เข้ามาต่อยอดสร้างรายได้และกำไรใหม่ให้อีก จึงอยากให้ทุกคนที่มีความสามารถบริจาคได้ ลองร่วมกันแบ่งปันให้สังคม ลองให้ตามกำลังที่มี และดูว่าความสุขที่ได้กลับมา จะสร้างการเปลี่ยนแปลงให้ชีวิตอย่างไร
เปิดโรงเรียนบ่มเพาะธุรกิจ BIS
เพราะเป็นคนที่เชื่อเรื่อง Brand และ Marketing ตั้งแต่เริ่มทำงานและผ่านมา 35 ปี จึงก่อตั้ง 2 แบรนด์ คือ Smooth E และ Dentiste ที่ส่งออกไปทำตลาดใน 25 ประเทศ และสามารถต่อยอดทำธุรกิจไปตลอดชีวิต และตั้งใจที่จะถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์การทำธุรกิจให้กับ “ผู้ประกอบการรุ่นใหม่”
โดยได้เปิดโรงเรียน The Business Incubation School หรือ BIS โรงเรียนบ่มเพาะธุรกิจ เป็นการศึกษารูปแบบใหม่ เพื่อผลักดันให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยเติบโต และสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่งในระดับโลก
ผู้เรียนต้องเป็นเจ้าของธุรกิจ โดยหลักสูตรการเรียนเน้นปฏิบัติจริง มี “นักธุรกิจ” ที่ประสบความสำเร็จ เป็นผู้สอน และถ่ายทอดประสบการณ์ตรง และทำหน้าที่เป็นโค้ชส่วนตัว (personal coach) ให้ผู้เรียนนำกลยุทธ์ที่ได้จากห้องเรียนไปปฏิบัติจริง และนำผลลัพธ์ที่ได้มาวิเคราะห์ต่อ
นักธุรกิจที่มาร่วมเป็นผู้สอน เช่น วิลเลียม ไฮเน็ค ผู้ก่อตั้งเครือบริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล, วิชา พูลวรลักษณ์ ซีอีโอ เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์, บุญชัย โชควัฒนา ประธานกรรมการ สหพัฒนพิบูล, สุพัตรา เป้าเปี่ยมทรัพย์ อดีตซีอีโอ ยูนิลีเวอร์ ปัจจุบัน รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มพฤกษา, สมพร ธีระโรจนพงษ์ ซีอีโอ เอสไอ คอร์ปอเรชั่น, เอ ศุภชัย ศรีวิจิตร ผู้จัดการดารา เจ้าของร้านตำแหล เป็นต้น
“วันนี้จะไปลงทุนธุรกิจโรงแรม อสังหาฯ ก็ได้เงินเหมือนกัน แต่การทำโรงเรียนสอนผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ให้เรียนรู้จากประสบการณ์ที่นำมาถ่ายทอด เป็นการ Shortcut การลองผิดลองถูก และสร้างธุรกิจเอสเอ็ม อีไทยให้เติบโต เป็นสิ่งที่เห็นแล้วมีความสุขมากกว่า เช่นเดียวกับนักธุรกิจทุกคนที่มาเป็นอาจารย์สอน บอกเหมือนกันว่ากลับไปแล้วมีความสุข”
ปัจจุบันคนทำธุรกิจมี Entrepreneur และ Business Owner ซึ่งแตกต่างกัน ต้องบอกว่าในประเทศไทยส่วนใหญ่เป็น Business Owner ที่ทำงานแบบเดิมและต่อยอดจากธุรกิจเดิมได้ยาก จึงหา Entrepreneur ได้น้อยเพราะการเป็น Entrepreneur จะมีไอเดียพัฒนาสินค้าอยู่ตลอดเวลา วางกลยุทธ์การตลาด มองการ Collaborate เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ผู้ประกอบการที่ร่ำรวยติดอันดับเศรษฐีโลก “ตระกูลสิริวัฒนภักดี” ที่มีทรัพย์สินเป็น “ล้านล้านบาท” ยังไม่หยุดคิดและมีโปรเจกต์ลงทุนธุรกิจใหม่ๆ ออกมาตลอดเวลา เพราะใช้หลักคิดแบบ Entrepreneur
“เป้าหมายของ BIS ต้องการเปลี่ยนความคิดของ Business Owner ให้เป็น Entrepreneur สร้าง Motivation เมื่อไหร่ก็ตามที่มีใจที่มุ่งมั่น มีความสามารถ และเห็นโอกาส นั่นคือ การประสบความสำเร็จ และต้องการเห็นเอสเอ็มอีไทย สร้างแบรนด์ก้าวสู่ระดับโลก เหมือนที่สมูทอีทำได้”
การทำงานด้านการศึกษา ท้ายที่สุดต้องการพัฒนา Education Model ของ BIS ให้สถาบันการศึกษาต่างๆ นำไปใช้ เพื่อร่วมกันบ่มเพาะผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ที่จะเป็นรากฐานผลักดันเศรษฐกิจไทยเติบโต ความคาดหวังต้องการเห็นโรงเรียน BIS เปิดในทุกจังหวัด เพื่อให้เอสเอ็มอีและคนรุ่นใหม่ได้เข้ามาศึกษาวิธีการทำธุรกิจ
เป้าหมายวันนี้จึงต้องการส่งมอบความรู้ให้ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ที่มีพลังงาน นำไปสานต่อธุรกิจให้สำเร็จ.