เปิดแผน Beauty Buffet แก้โจทย์หินฟื้นรายได้ ตั้งตัวแทนตลาดจีน-ผนึกพันธมิตรเปิดร้าน “มัลติแบรนด์” ปั้นโมเดลเจาะแมส

ปี 2560 หุ้น Beauty ถูกจัดว่าสวยตามชื่อเป็นหุ้นร้อนแรงในตลาดหลักทรัพย์ รายได้ปีนั้นอยู่ที่ 3,735 ล้านบาท กำไรสุทธิ 1,229 ล้านบาท ราคาหุ้น 20.80 บาท มาร์เก็ตแคป 62,456 ล้านบาท เป็นผลจากแรงซื้อมหาศาลตลาดจีน

จากนั้นไม่ถึง 2 ปี Beauty กลับสวยน้อยลง เดือน ส.ค. 2562 ราคาหุ้นอยู่ที่ 3.02 บาท มาร์เก็ตแคปร่วงมาอยู่ที่ 9,080 ล้านบาท ลดลงเกือบ 6 เท่า ถือเป็นโจทย์หินในรอบ 22 ปีตั้งแต่อยู่ในอุตสาหกรรมก่อนเข้าตลาด

ไตรมาส 2 ปีนี้ Beauty รายงานตลาดหลักทรัพย์ รายได้รวมอยู่ที่ 531 ล้านบาท ลดลง 38% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน ขณะที่รายได้ 6 เดือน ปี 2562 อยู่ที่ 1,080 ล้านบาท ลดลง 38.70% จากช่วงเดียวกันปีก่อน

ดร.พีระพงษ์ กิติเวชโภคาวัฒน์

ตั้งตัวแทนขายฟื้นตลาดจีน

ดร.พีระพงษ์ กิติเวชโภคาวัฒน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ BEAUTY ผู้ดำเนินธุรกิจค้าปลีกผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและบำรุงผิว ร้าน Beauty Buffet กล่าวว่า แนวโน้มรายได้ปีนี้ยังอยู่ในภาวะ “ถดถอย” อีกปีจากหลายปัจจัย ปีนี้ประเมินรายได้ทั้งปีไว้ที่ 2,200 ล้านบาท ลดลงจากปี 2561 ที่มีรายได้ 3,501 ล้านบาท แต่เชื่อว่ายังทำอัตรากำไรสุทธิได้ที่ 17%

ผลกระทบในแง่รายได้ของ BEAUTY มาจากสงครามการค้าจีน ทำให้ตลาดต่างประเทศที่มีสัดส่วน 30% ของรายได้ ได้รับผลกระทบเพราะตลาดจีนครองสัดส่วน 70%

ที่ผ่านมาการเติบโตของ BEAUTY ในปี 2560 มาจากลูกค้าชาวจีนเข้ามาหิ้วสินค้าจากไทยและสั่งซื้อออนไลน์เข้าไปขายในจีน จากความนิยมเครื่องสำอางไทยทำให้ยอดขายจากตลาดจีนมีสัดส่วน 30% ของยอดขายในปีนั้น แต่หลังจากนั้นจีนออกกฎหมายคุมภาษีสินค้าอีคอมเมิร์ซและเกิดสงครามการค้า (Trade War) ทำให้ยอดขายจากตลาดจีนซบเซามาต่อเนื่องถึงปัจจุบัน

วิธีการแก้ไขตลาดจีน จึงเข้าไปแต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการในจีน รวมทั้งเปิดช็อปแบรนด์บนอีคอมเมิร์ซทุกแพลตฟอร์มในประเทศจีน เชื่อว่ายอดขายจากตลาดจีนจะเริ่มฟื้นตัวหลังจากนี้ อีกทั้งได้กระจายรายได้ตลาดต่างประเทศ เพื่อบาลานซ์รายได้ตลาดจีน ด้วยการขยายการทำตลาดในประเทศต่างๆ รวม 15 ประเทศ ให้มีสัดส่วนใกล้เคียงกัน

จับมือ 14 แบรนด์ปรับโฉมร้าน “มัลติแบรนด์”

นอกจากนี้ร้าน “BEAUTY BUFFET” ซึ่งปัจจุบันมีสาขาทั่วประเทศ 259 แห่ง เดิมจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของกลุ่ม BEAUTY ทั้งเครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว รวมทั้งสินค้าสุขภาพประกอบด้วยแบรนด์ จีโน่ แม็คเครย์, เดอะ เบเกอรี่, เซนทิโอ, แลนซ์เลย์, เมด อิน เนเจอร์, บิวตี้ ไอดอล กว่า 3,000 – 4,000 รายการ (SKU) รวม 480 ไอเท็ม

ปัจจุบันได้ปรับโฉมร้าน “BEAUTY BUFFET” ใหม่สู่รูปแบบ “มัลติแบรนด์” โดยจับมือกับพันธมิตร “แบรนด์ไทย” กลุ่มเครื่องสำอางและสินค้าสุขภาพกว่า 14 แบรนด์ อาทิ แบรนด์ KARMART, SNAIL WHITE, BOKHTOH SMITH, HER HIGHNESS นำร่องเปิดแฟลกชิปสโตร์สาขาแรกที่มาบุญครอง ปี 2562 จะนำสินค้าจากแบรนด์พันธมิตรเข้ามาจำหน่ายในร้าน BEAUTY BUFFET 120 สาขาทั่วประเทศ และจะขยายเพิ่มเติมในปีหน้า

โดยสัดส่วนผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายในร้าน แบ่งออกเป็นสินค้า BEAUTY BUFFET 80% และสินค้าแบรนด์พันธมิตร 20% เน้นกลุ่มลูกค้าระดับกลางถึงบน

พฤติกรรมผู้บริโภคและนักช้อปส่วนใหญ่ต้องการช้อปปิ้งในรูปแบบร้านมัลติแบรนด์ ด้านราคาและสินค้าที่หลากหลาย เชื่อว่าจะได้รับการตอบรับที่ดี ตอบโจทย์กลุ่มนักช้อปปัจจุบันและเพิ่มโอกาสขายให้กับธุรกิจร้านค้าปลีกเครื่องสำอาง

“การปรับร้านสู่มัลติแบรนด์ เรากำลังทำตัวเป็นเวทีให้แบรนด์ไทยอื่นๆ เข้ามาร่วมสร้างความแข็งแกร่งให้เครื่องสำอางแบรนด์ไทย เป็นช็อปที่มีสินค้าให้เลือกเพิ่มขึ้น วันนี้ถึงเวลาที่เราต้องดึงนักเตะเก่งๆ เข้ามาเริ่มทีม”   

ปั้นบิสสิเนสโมเดลเจาะแมส

ปัจจุบันต้องยอมรับว่ากำลังซื้อผู้บริโภคยังไม่กลับสู่ภาวะปกติ จากเศรษฐกิจและกำลังซื้อชะลอตัว แม้คนไทยยังต้องการจับจ่ายสินค้าด้านความงาม แต่ก็ต้องเป็นการ “สวยอย่างประหยัด” BEAUTY จึงมองโอกาสปั้นบิสสิเนสโมเดลใหม่ที่เป็นคอนเซ็ปต์ Everyday low price ที่ทำได้ทั้งตลาดบน กลาง แมส โดยจะเริ่มที่ตลาดแมส เพื่อเป็นการขยายฐานกลุ่มลูกค้าใหม่ให้กับ BEAUTY สินค้าเริ่มที่ 39 บาท

การทำตลาดเป็นการจัดอีเวนต์ หรือ ป็อปอัพ เอาท์เล็ต รูปแบบเฟสติวัล ตามสถานที่ต่างๆ หากได้รับความสนใจอาจพัฒนาเป็นช็อปจำหน่าย โดยจะเริ่มทำตลาดนี้ในไตรมาส 3

นอกจากนี้จะใช้กลยุทธ์การตลาดแบบ O2O (Online to Offline) ควบคู่ไปกับการใช้ Experience Sharing ผ่านทางกลุ่มของ Macro Influencers ที่สามารถสร้าง Mass Awareness

ตลาดเครื่องสำอางในไทยมีมูลค่ากว่า 1.8 แสนล้านบาท เติบโตเฉลี่ย 7 – 8% และมูลค่าตลาดอาหารเสริม 8.7 หมื่นล้านบาท จึงถือยังถือเป็นโอกาสของบิวตี้ บุฟเฟต์

จากกลยุทธ์การตลาดดังกล่าว BEAUTY คาดว่าปี 2563 จะเป็นปีที่รายได้กลับมาเติบโตได้อีกครั้งในอัตรา 20% และหุ้น BEAUTY จะอยู่ในกลุ่มที่เติบโตในโหมด Normal ไม่ใช่หุ้นกระดี๊กระด๊า เหมือนที่ผ่านมา.