เปิดใจ CEO Starbucks หลังผู้ประท้วงในฮ่องกงตั้งเป้าหมายโจมตีร้านค้าในเครือ ระบุว่าความปลอดภัยของพนักงานคือ “โฟกัส” และภารกิจที่มีความสำคัญอันดับ 1 ย้ำไม่หวั่นใจเพราะ Starbucks เกี่ยวข้องกับประเด็นการเมืองของหลายประเทศอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว
กลุ่มผู้ประท้วงในฮ่องกงตั้งเป้าโจมตีร้านกาแฟ Starbucks หลังจากที่บุตรสาวของผู้ก่อตั้งบริษัทธุรกิจแฟรนไชส์ Starbucks ในฮ่องกงออกมาปกป้องการกระทำของเจ้าหน้าที่ตำรวจฮ่องกง ทำให้ผู้ประท้วงโกรธแค้นและกลายเป็นกระแสต่อต้านจนทำให้บางร้าน Starbucks ในฮ่องกงถูกพ่นสี และถูกบุกทำลายข้าวของภายในร้าน
ความเคลื่อนไหวล่าสุดของ Starbucks คือการแสดงจุดยืนไม่วิตกกังวลต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยล่าสุด Starbucks กำลังมีแผนเปิดบริการร้านแนวใหม่ที่จะไม่มีเก้าอี้นั่งรับประทานกาแฟ แต่ลูกค้าจะต้องรับกาแฟและเครื่องดื่มอื่นกลับไปเพลินนอกร้านเท่านั้น หลังจากที่สั่งและชำระเงินแล้วผ่านแอปพลิเคชัน
ไม่ใช่ครั้งแรก
Kevin Johnson ประธานบริหาร Starbucks กล่าวถึงเหตุผู้ประท้วงฮ่องกงตั้งเป้าโจมตีร้าน Starbucks ในฮ่องกงว่าบริษัทเน้นให้ความสำคัญเรื่องความปลอดภัยของบาริสต้าเป็นหลัก โดยบอกว่า Starbucks มีธุรกิจในพื้นที่ 81 ตลาดทั่วโลก ทำให้ Starbucks ต้องจัดการกับประเด็นทางการเมืองตลอดเวลา
แม้จะบอกว่าต้องเกี่ยวข้องกับประเด็นการเมืองบ่อยครั้ง แต่หัวเรือใหญ่ Starbucks ยืนยันว่าโฟกัสของบริษัทไม่ได้อยู่ที่การปกป้องยอดขายหรือผลประกอบการ
โฟกัสของผมและพันธกิจสำคัญที่สุดคือการมุ่งเน้นไปที่ความปลอดภัยและซีเคียวริตี้ของพาร์ตเนอร์ของเรา
Johnson กล่าวโดยใช้คำว่าพาร์ตเนอร์ หรือ Partner เป็นคำเรียกพนักงานตามธรรมเนียมของบริษัท
สำหรับปัญหากระแสต่อต้าน Starbucks นี้เกิดขึ้นเพราะเชนกาแฟในฮ่องกงถูกบริหารงานโดย Maxim Group ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มบริษัทธุรกิจอาหารที่ใหญ่ที่สุดของเกาะ นักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยในฮ่องกงโกรธแค้นที่ Annie Wu บุตรสาวของผู้ก่อตั้ง Maxim Group กล่าวเรียกผู้ประท้วงว่าเป็น “ผู้ก่อการจลาจล” หรือ rioter ซึ่งสะท้อนการปกป้องตำรวจฮ่องกงเต็มที่
การต่อต้านนี้ถือว่าเกิดขึ้นในช่วงไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2020 โดย Starbucks รายงานผลประกอบการไตรมาส 4 ปีการเงิน 2019 เมื่อวันพุธปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา โดยตลาดที่ใหญ่ที่สุด 2 แห่งของ Starbucks คือสหรัฐอเมริกาและจีนแผ่นดินใหญ่ ทั้ง 2 ตลาดมียอดขายจากสาขาเดิมหรือ same-store sale ที่เติบโตอย่างชัดเจน
ใส่ใจพนักงาน
วันนี้ Starbucks กำลังใช้ปัญญาประดิษฐ์ในการจัดการพนักงาน นั่นคือเทคโนโลยี “Deep Brew” ที่จะสามารถผลักดันยอดขายให้เติบโตได้เพราะสามารถคาดการณ์จำนวนพนักงานที่ต้องใช้ในร้านแต่ละช่วงเวลาได้แม่นยำ ซึ่งแต่เดิม เทคโนโลยีนี้ถูกใช้เพื่อปรับเปลี่ยนข้อเสนอพิเศษสำหรับลูกค้าภายในแอปมือถือ แต่ขณะนี้สามารถนำมาคาดการณ์สินค้าคงคลังของร้าน Starbucks ได้ด้วย
ประเด็นนี้ CEO Starbucks กล่าวว่าเทคโนโลยีจะทำให้พนักงานมีเวลามากขึ้น นั่นหมายถึงบาริสต้า Starbucks จะสามารถใช้เวลาในการโต้ตอบกับลูกค้าได้มากขึ้น และจะปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้าได้ดีกว่าเดิม
ความเคลื่อนไหวล่าสุดของ Starbucks คือการประกาศเปิดร้านที่เป็น mobile pick-up only store หรือร้านที่จะเป็นจุดรับเครื่องดื่มที่สั่งซื้อผ่านแอปพลิเคชันบนอุปกรณ์พกพาเท่านั้น ร้านดังกล่าวปักหมุดที่ New York City ซึ่งจะเปิดทำการ 5 พฤศจิกายนนี้.