‘ฮ่องกง’ อดีตอาณานิคมของอังกฤษที่กลับสู่การปกครองของจีนในปี 1997 และได้กลายเป็นศูนย์กลางทางการเงินและธุรกิจระดับโลกที่เชื่อมโยงจีนและโลก แต่จากการเปลี่ยนแปลงกฎหมายให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนไปยังประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ ส่งผลให้เกิดการประท้วงต่อต้านรัฐบาลที่ขยายวงกว้างและมีทวีความรุนแรงระหว่างผู้ประท้วงและตำรวจมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ปัจจุบันเริ่มมีสัญญาณว่าการประท้วงเริ่มผ่อนลงและอาจจะหายไปในไม่ช้านี้
อย่างไรก็ตาม การประท้วงดังกล่าวกินเวลานานกว่า 6 เดือนนั้น บวกกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน ส่งให้เศรษฐกิจฮ่องกงเข้าสู่ภาวะถดถอยเป็นครั้งแรกในรอบทศวรรษ โดย ‘Iris Pang’ นักเศรษฐศาสตร์ที่ธนาคารดัตช์ ING คาดการณ์ว่าตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของฮ่องกงในปีนี้จะลดลง 2.25% และลดลง 5.8% ในปี 2020
หนึ่งในปัจจัยขับเคลื่อนที่สำคัญของการชะลอตัวทางเศรษฐกิจในฮ่องกงคือ ยอดค้าปลีกที่ลดลงอย่างมาก เนื่องจากราว 65% ของ GDP มาจากการบริโภคในภาคเอกชน ในช่วงต้นปีสภาวะเศรษฐกิจโลกอยู่ในสภาวะถดถอย ส่งผลให้ผู้บริโภคฮ่องกงระมัดระวังเกี่ยวกับการใช้จ่าย แต่เมื่อการประท้วง ทำให้ผู้บริโภคชะลอการใช้จ่ายมากขึ้นไปอีก
อีกปัจจัยที่ส่งผลก็คือ ภาคการท่องเที่ยว โดยนักท่องเที่ยวจากจีนแผ่นดินใหญ่มีสัดส่วนประมาณ 80% ของนักท่องเที่ยวทั้งหมดในฮ่องกง ซึ่งหลังจากมีเหตุการณ์ประท้วง ส่งผลให้ยอดนักท่องเที่ยวจีนลดลงราว 4.45% ในเดือนมกราคมถึงตุลาคมปีนี้เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2561 ยังไม่รวมนักท่องเที่ยวประเทศอื่น ๆ ซึ่งจะเห็นว่าอุตสาหกรรมการบินอยู่ในช่วงวิกฤต อย่าง ‘Hong Kong Airlines เสี่ยงล้มละลาย
แม้จะมีแรงกดดันต่อสภาวะเศรษฐกิจฮ่องกง แต่เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจเมื่อดัชนีหุ้นมาตรฐานของฮ่องกง ‘Hang Seng’ ในช่วงปลายปี 2019 ยังอยู่ในระดับที่สูงกว่าที่เริ่มต้นเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งเป็นเพราะนักลงทุนยังมองว่าตลาดหุ้นฮ่องกงเป็นหนทางในการซื้อและขายสินทรัพย์ของจีน
ตามข้อมูลของ Mark Mobius ผู้ร่วมก่อตั้งที่ Mobius Capital Partners ได้กล่าวว่า “มีโอกาสเสมอที่จะเข้าสู่ประเทศจีนผ่านฮ่องกงและโอกาสนั้นจะไม่หายไปไหนเร็วๆ นี้”
ทั้งนี้ ฮ่องกงตั้งเป้าที่จะรักษาตำแหน่งให้เป็นตลาดอันดับต้นๆ ของรายชื่อหลักทรัพย์ใหม่ทั่วโลก
#Hongkong #positioning