หลังสหรัฐอเมริกาเข้าโจมตีทางอากาศสังหาร “นายพลคาสเซม โซเลมานี” แห่งอิหร่านเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 2 มกราคม 2020 สร้างแรงกระเพื่อมในตลาดเงินตลาดทุน โดยตลาดหุ้นโลกราคาตกฮวบ ขณะที่ราคาทองคำพุ่งขึ้นสูงสุดในรอบ 6 ปี รวมถึงราคาน้ำมันและพันธบัตรรัฐบาลที่ปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากนักลงทุนเลือกหนีตลาดสินทรัพย์ความเสี่ยงสูง และเกรงว่าเหตุการณ์นี้จะส่งผลต่อซัพพลายน้ำมันระดับโลก
การโจมตีอิหร่านครั้งนี้เกิดขึ้นจากคำสั่งโดยตรงของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ โดยกล่าวว่าเป็นภารกิจเพื่อขัดขวางแผนการโจมตีในอนาคตของอิหร่าน ขณะที่ฝั่งอิหร่านตอบโต้กลับด้วยคำแถลงของ อายะตอลเลาะห์ อาลี คาเมเนอี ผู้นำระดับสูงของอิหร่านว่า “การแก้แค้นอย่างรุนแรงกำลังรอสหรัฐฯ อยู่”
สำหรับตลาดเงินตลาดทุนจะเป็นอย่างไรหลังความตึงเครียดที่เกิดขึ้นในตะวันออกกลาง ติดตามได้จากบทวิเคราะห์จาก 6 แหล่งนี้
1.ทองคำจะเป็นที่ต้องการ
Oanda มองว่า ความเสี่ยงที่จะเกิดความขัดแย้งสูงขึ้นน่าจะทำให้ราคาหุ้นตกลงอีกในเดือนนี้ และส่งให้เงินลงทุนไหลสู่ตลาดสินทรัพย์ปลอดภัยจนกว่าความกลัวจะลดลง
Oanda กล่าวว่า การโจมตีทางอากาศครั้งนี้ทำให้ภูมิภาคสั่นสะเทือน และการตายของโซเลมานีนั้นอาจจะเป็นเพียงจุดเริ่มต้น “ภูมิภาคนี้ทั้งหมดกำลังอยู่ในช่วงอ่อนไหว และตลาดหุ้นอาจจะร่วงลงได้อีก” เอ็ดเวิร์ด โมยา นักวิเคราะห์อาวุโสกล่าว “ทองคำจะยังเป็นตลาดสินทรัพย์ปลอดภัยที่นักลงทุนชื่นชอบ”
นอกจากนี้ ตลาดสินทรัพย์ปลอดภัยอื่นๆ เช่น สกุลเงินดอลลาร์ และ สกุลเงินเยน น่าจะเป็นจุดพักเงินลงทุนสูงขึ้น “แต่ทองคำจะยังเป็นราชาของกลุ่มนี้” โมยากล่าวเสริม และเชื่อว่าราคาทองคำจะพุ่งขึ้นจากปี 2019 ไปแตะ 1,600 เหรียญต่อออนซ์ภายในสิ้นเดือนมกราคมนี้
2.ใช้โอกาสตลาดขาลงเร่งช้อนซื้อหุ้นกลุ่มเทคฯ
Wedbush มองว่า ราคาหุ้นสหรัฐฯ ที่ทรุดลงเป็น “โอกาสทองในการช้อนซื้อ” สำหรับนักลงทุนที่ต้องการจะซื้อ หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี เพราะราคาถูกลงแล้วในขณะนี้ หลังจากปี 2019 ราคาหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นมากที่สุดในรอบทศวรรษ
ที่แนะนำหุ้นกลุ่มเทคฯ เพราะ Wedbush มองว่าหุ้นกลุ่มนี้จะเติบโตได้อีกในปี 2020 แม้ว่าจะสะดุดไปบ้างจากเหตุการณ์โจมตีอิหร่าน ดังนั้น นี่จึงเป็นโอกาสช้อนซื้อหุ้นเทคฯ เด่นๆ เช่น Microsoft, Apple, Nuance, CyberArk, Fortinet, Varonis, SailPoint, Zscaler
3.การโจมตีครั้งนี้จะเพิ่มโอกาสเกิดสงคราม
ด้าน Capital Economics กล่าวว่า การลอบสังหารโซเลมานีจะเพิ่มโอกาสเสี่ยงเกิดความขัดแย้งโดยสมบูรณ์ระหว่างสหรัฐฯ และอิหร่าน และหากเกิดสงครามขึ้นจริงจะกระทบกับจีดีพีโลกโดยตรงประมาณ 0.3% เนื่องจากเศรษฐกิจอิหร่านจะพังทลาย นอกจากนี้ยังต้องจับตามองว่าสงครามที่อาจเกิดขึ้นจะกระทบกับประเทศในเขตตะวันออกกลางและแอฟริกาตอนเหนือมากน้อยแค่ไหน
Capital Economics ยังกล่าวด้วยว่า อิหร่านอาจโต้กลับด้วยการปิดช่องแคบฮอร์มุซเพื่อส่งให้ราคาน้ำมันสูงขึ้นทั่วโลก ประเทศพัฒนาแล้วน่าจะผ่านสถานการณ์นี้ไปอย่างยากลำบาก ส่วนประเทศกำลังพัฒนาอาจเพิ่มอัตราดอกเบี้ย
4.นักลงทุนไม่ควรตื่นตระหนกเกินไป
บริษัทบริหารจัดการการลงทุนส่วนบุคคล CIBC มองว่า อิหร่านมักจะตอบโต้กลับ แต่บริษัทยังคงความเห็นเหมือนเดิมว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปีนี้จะเป็นตลาดกระทิง (ตลาดขาขึ้น) แม้ว่าจะต้องระมัดระวังคอยจับตาดูสถานการณ์ในอิหร่าน แต่นักลงทุนไม่ควรตื่นตระหนกจนเกินไป
CIBC ยังชี้ว่าอัตราเงินเฟ้อและรายได้ขององค์กรขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ ยังอยู่ในเกณฑ์เศรษฐกิจสุขภาพดี และดีลการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่กำลังจะเซ็นสัญญากันนั้นจะยิ่งส่งเสริมให้ตลาดหุ้นเติบโต
5.แนะนำให้ “มองผลกำไรระยะยาว”
ธนาคาร UBS เชื่อว่า ความขัดแย้งทางการเมืองอาจทำให้ตลาดเหวี่ยงลงอย่างกะทันหันแต่น่าจะเป็นไปในระยะสั้นเท่านั้น นักลงทุนควรจะ “นิ่งไว้ก่อน” และยังไม่ควรปรับกลยุทธ์การลงทุนใหม่ตามสถานการณ์โจมตีอิหร่าน
“ความเสี่ยงเรื่องความขัดแย้งระหว่างประเทศยังไม่มีแนวโน้มจะทำให้เกิดตลาดขาลง นักลงทุนควรจะมองผลตอบแทนในระยะยาวต่อไป” Mark Haefele ประธานเจ้าหน้าที่ด้านการลงทุนระดับโลกของ UBS กล่าว เขายังแนะนำลูกค้าด้วยว่า “ไม่ควรคาดหวังการแข่งขันด้านราคาน้ำมัน” และ “ทองคำจะเป็นแหล่งพักเงินที่ดีระหว่างที่การเมืองยังไม่นิ่ง”
6.อิหร่านอาจตอบโต้ด้วยปฏิบัติการขนาดเล็กมากกว่าสงคราม
ปิดท้ายที่ Pantheon วิเคราะห์ว่า อิหร่านจะตอบโต้กลับการโจมตีของสหรัฐฯ แต่ไม่น่าจะเกิดสงครามเต็มรูปแบบขึ้น (แต่ยังคงไม่ตัดความเป็นไปได้ทิ้ง) เนื่องจากการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ มีผลกระทบหนักกับประเทศอยู่แล้ว อิหร่านจึงไม่น่าจะต้องการก่อให้เกิดสงครามเต็มรูปแบบขึ้น
อิหร่านจึงน่าจะหันไปใช้โครงสร้างพื้นฐานคือ “น้ำมัน” ในการตอบโต้ ส่วนในทางการศึก อิหร่านอาจจะใช้ปฏิบัติการขนาดเล็ก เช่น การลักพาตัว ลอบสังหาร เพื่อเพิ่มความตึงเครียด เพราะความกลัวว่าจะเกิดสงครามนี้เองที่จะทำให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นอย่างน้อยใน 2-3 เดือนข้างหน้า