จังหวะชีวิต “ธนา ดีแทค”

ช่วงชีวิตของแต่คนๆ หนึ่งเปรียบแล้ว ก็ไม่คงต่างจาก “จังหวะดนตรี” ที่มีตัวโน้ตเสียงสูง เสียงต่ำเรียงร้อยออกมาเป็นทำนอง บางบทเพลงก็ให้ความรู้สึกตื่นเต้น เร้าใจ แต่เพลงบางเพลงก็เหมาะที่จะฟังเพียงเพื่อให้ความสงบนิ่งฉกเช่นชีวิตการทำงานของ “ธนา เธียรอัจฉริยะ” ผู้บริหารดีแทค ที่จังหวะชีวิตเคยโลดแล่นในฐานะของแม่ทัพการตลาดของดีแทคของเขากำลังเปลี่ยนไป

ธนา บอกกับทุกคนว่า เขารู้สึกดี ยังแฮปปี้ กับตัวโน้ตทุกตัวในทุกช่วงจังหวะของชีวิต แม้กระทั่งในการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างองค์กรล่าสุดของดีแทค ที่มีผลต่อชีวิตการทำงานของธนา ผู้ที่ได้ชื่อว่าชุบชีวิตแบรนด์ ดีพร้อมพ์ แบรนด์พรีเพด ที่อาการสาหัส ให้ฟื้นกลับคืนมาเป็น “แฮปปี้” แบรนด์อันลือลั่น หลายคนตั้งฉายาเรียกเขาว่า “มิสเตอร์แฮปปี้”

นับจากนั้น จังหวะชีวิตของเขาก็พุ่งถึงขีดสุด ธนาโด่งดังเป็นที่รู้จัก เขากลายเป็นสัญลักษณ์ของดีแทค และเมื่อก้าวขึ้นเป็นแม่ทัพการตลาดของโอเปอเรเตอร์มือถืออันดับ 2 ของเมืองไทย เขาได้ชื่อว่าเป็นมืออาชีพที่ประสบความสำเร็จคนหนึ่งของเมืองไทย

2 ปีผ่านไป จังหวะชีวิตของธนา ก็ต้องมาถึงจุดเปลี่ยนอีกครั้ง จากโครงสร้างองค์กรดีแทคใหม่ ส่งผลให้ธนาต้องลุกจากตำแหน่งรองประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านพาณิชย์ ไปนั่งเก้าอี้ใหม่ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลยุทธองค์กร ในสายงานใหม่ที่ใช้ชื่อว่า Corporate Affairs and Strategy Group

เป็นตำแหน่งใหม่ของเขาที่ต้องดูแลการวางกลยุทธ์ให้กับธุรกิจใหม่ (New Businesses Strategy) ส่วนงานภาครัฐสัมพันธ์ (Government Relations) ส่วนงานด้านกฎหมายและกฎระเบียบ (Legal and Regulatory) ตลอดจนประชาสัมพันธ์องค์กร (Corporate Media) และส่วนงานรับผิดชอบต่อสังคม (Corporate Responsibility)

จะว่าไปแล้ว การปรับโครงสร้างครั้งนี้ เปรียบได้กับการโยกแม่ทัพที่คุมขุนศึกนับพันเพื่อบุกตะลุยสู้รบกับคู่แข่งมาอยู่เบื้องหลัง มีหน้าที่เป็นเพียงฝ่ายสนับสนุน ที่ดูแลความเรียบร้อย

เป็นจังหวะชีวิตของการเปลี่ยนแปลงที่ธนาบอกว่า ได้เตรียมตัวเตรียมใจมาแล้วว่าต้องเกิดขึ้นไม่วันใดก็วันหนึ่ง

POSITIONING : คิดอย่างไรกับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างองค์กรในครั้งนี้

ธนา : ผมเตรียมตัวมาได้ 2 ปีแล้ว เวลาประชุมใหญ่ผมจะพูดกับน้องๆ ว่า ผมอาจไม่ได้อยู่ตรงนี้ตลอด อยากให้เขาเตรียมตัวไว้ ทั้งข้อมูลต่างๆ ก็ให้จดบันทึกว่า ทำไมถึงเลือกดีลเลอร์ กับดิสทริบิวเตอร์รายนี้ น้องๆ แต่ละคนเขาได้คอมมิชชั่นกันเท่าไหร่ ทำมา 2-3 ปีแล้ว เพราะรู้ว่าวันหนึ่งจะต้องลุกจากเก้าอี้ คนที่มาใหม่เขาจะได้รับช่วงงานต่อได้ทันที และเขาจะได้ไม่ไปแตะน้องๆ ในระบบที่สร้างไว้ดีแล้ว อีกอย่างผมได้ข้อคิดมาจากหนังสือของหนูดี ที่บอกว่าวันหนึ่งก็ต้องจบ เลยต้องซ้อมตัวเองไว้เสมอว่า ถ้าวันหนึ่งซีอีโอเดินมาบอกให้เปลี่ยนไปทำงานอย่างอื่นแล้วผมจะทำยังไง ซึ่งถ้าผมนั่งทับผลประโยชน์อยู่ ผมอาจไม่ยอมลุก ในเมื่อผมCleanทุกอย่าง ผมไม่มีอะไรต้องให้กลบ อย่างงบการตลาดปีหนึ่งๆ เป็นพันล้านบาท ก็มีคนดูแลโดยตรง ผมไม่เคยเข้าไปยุ่ง มันเลยง่ายมากเลยที่จะลุกได้ทันที ตอนแรกคุณทอเร่ (จอห์นเซ่น) เขาก็กังวล เขาเองก็ไม่ได้บังคับ ถ้าผมไม่ยอมไปเขาก็ไม่ย้ายผม ปรากฏว่า เขาเดินมาบอกผมใช้เวลาแค่ 5 นาที ผมบอกโอเค เข้าใจ ผมซ้อมคิดไว้แล้ว

POSITIONING : มีสัญญาณอะไรที่ทำให้ต้องซ้อมคิดล่วงหน้า

ธนา : มันเป็นเรื่องของสปิริต ผมดูแลงานทางด้านมา 6-7 ปี ทุกอย่างมันดีไปหมด ทุกคนเกรงใจผมมาก จนดูเหมือนเป็นกึ่งๆ มาเฟีย ซึ่งผมเองก็คิดเสมอว่า ชีวิตมันดีเกินไป ยิ่งช่วง 2-3 ปีหลังมานี้ มันดีไปหมด ทั้งหน้าที่การงาน ลูกน้อง ผมก็เลยเริ่มเสียวแล้ว เลยซ้อมคิดไว้ล่วงหน้าว่าสักวันผมต้องลุกจากเก้าอี้ตัวนี้ ต้นปีผมพูดกับน้องๆ ว่า ปีนี้คงจะปีสุดท้ายที่ผมจะอยู่ในตำแหน่งนี้ ตัวผมเองเขาต้องการเป็นตัวอย่างให้กับลูกน้อง ผมเป็นวิทยากรบรรยายเรื่องการ Change มาตลอด เปลี่ยนน้องๆ มาเยอะ บอกเขาตลอดว่า เปลี่ยนแล้วดีกับบริษัทยังไง เมื่อถึงเวลาที่ผมต้องเปลี่ยน ผมก็ควรต้องทำเป็นตัวอย่าง

POSITIONING : เทเลนอร์กังวลในเรื่องของอิทธิพลของคนไทย จึงต้องการเปลี่ยนเอาฝรั่งขึ้นแทน

ธนา : การลงทุนของเทเลนอร์ในเอเชียทั้งหมด คุณซิคเว่ เบรคเก้ เขาเป็นคนกำหนดยุทธศาสตร์ทั้งหมด และสไตล์ของคุณซิคเว่ เขาเชื่อในการเปลี่ยนแปลง เชื่อว่าใครที่อยู่นิ่งๆ สบายๆ แล้วก็จะไม่พัฒนาต่อ เขาชอบให้คนรู้สึกเหมือนอยู่บนหน้าผา เพราะเป็นช่วงที่คนจะเรียนรู้มากที่สุด สำหรับตัวผมเขาเป็นเจ้านายที่ผมเคารพที่สุด ผมไม่เคยไม่เชื่อเขาเลย เขาบอกให้บุกน้ำลุยไฟ ผมก็ไป จริงๆ แล้ว ซิคเว่อยากให้ผมไปอินเดีย แต่ผมอยากอยู่เมืองไทย เขาไม่อยากให้จมปลักอยู่กับความสำเร็จ และลุกไม่ได้ ที่สำคัญผมเองก็รู้สึกว่าถ้าผมอยู่ในตำแหน่งนี้ต่อไป ก็ไม่ตื่นเต้นแล้ว รู้ว่าวันๆ จะทำอะไร เลยเข้าใจว่าทำไมต้องเปลี่ยน ถ้าเป็นคนอื่นจะลุกจากเก้าอี้ยาก เพราะคนที่ดูแลด้านการตลาดเท่ากับนั่งทับเงินพันล้าน อำนาจอิทธิพลเต็มไปหมด แต่ผมใช้เวลาแป๊บเดียว ผมลุกได้เลย พรุ่งนี้ผมไม่รู้สึกอะไรแล้ว ซึ่งผมก็ภูมิใจ

POSITIONING : คุณซิคเว่เขาคุยกับคุณธนากับการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้อย่างไร

ธนา : คุณซิคเว่ บอกว่า เรายังรับมือกับข่าวการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ไม่ค่อยดี เนื่องจากผมเป็น Subjectในเรื่องนี้ ผมให้สัมภาษณ์ได้ แต่ผมแก้ข่าวไม่ได้ เร็วๆ นี้ คุณทอเร่อาจให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวเรื่องนี้อีกครั้ง ส่วนตัวคุณซิคเว่เองพักนี้เขาโทรหาผมทุกวันเลย อยากรู้ว่าเปลี่ยนแปลงจะเป็นอย่างไร (หัวเราะ) เขาชมเลยรอบนี้ว่า ผมนิ่งมาก เป็นมืออาชีพ เขาภูมิใจเหมือนเป็นลูกศิษย์เขา

POSITIONING : ส่วนตัวคุณธนาได้วางเป้าหมายไว้เลยเหรอว่าต้องก้าวขึ้นไปในตำแหน่งที่สูงกว่านี้

ธนา : ผมบอกกับสื่อไปว่า ผมเป็นคนที่ไม่เคยวางแคเรียพาร์ต และผมไม่อยากเป็นซีอีโอ บางคนเขาหาว่าผมสร้างภาพ แต่ภรรยาผมรู้ดี เขายังบอกเลย แต่แล้วผมบอกกับภรรยาเสมอให้เตรียมใจไว้ว่ามันเป็นแค่หัวโขน และผมก็บอกคุณทอเร่ไปแล้วว่า ผมไม่ต้องเป็นแคนดิเดทซีอีโอ ผมอยากมีชีวิตส่วนตัว อยากทำงานสบายๆ ได้กลับบ้านเร็ว อยู่บ้านกับลูก ภรรยา ได้พักช่วงเสาร์อาทิตย์ ถ้าต้องทำงานดึกๆ ไม่มีวันหยุด ผมไม่เอา ผมแฮปปี้กับชีวิตในเวลานี้ มีเงินใช้สบายๆ เงินเดือนก็เยอะ ไม่รู้จะเอาอะไรมากกว่านี้แล้ว ผมไม่อยากมีเงินร้อยล้าน ผมไม่ได้สะสมอะไร อยากให้สุขภาพตัวเองแข็งแรง ที่ผ่านมามันดีเกินไปก็เลยเสียว พอเปลี่ยนแปลงแล้วมันทำให้เลือดสูบฉีด เพราะได้ทำอะไรใหม่ๆ งานจากนี้ก็คงเบาลง เพราะเป็นงานทางยุทธศาสตร์ ไม่ต้องลงมือปฏิบัติ ทำให้ผมทำอะไรได้เยอะขึ้น บรรยากาศทุกอย่างก็โอเคเหมือนเดิม

POSITIONING : คุณธนาอายุแค่ 41 ปี ไม่อยากหาความท้าทายใหม่ เช่น เปิดบริษัทเป็นเจ้าของธุรกิจ

ธนา : ผมอยากมีชีวิตสบายๆ ถ้าเป็นเจ้าของธุรกิจความรับผิดชอบเยอะไป เวลานี้งานก็ไม่หนักแต่มีความรับผิดชอบเยอะ แต่หน้าที่ใหม่ก็ดี ไม่ต้องรับผิดชอบคนเป็นพันมากเท่าเดิม

POSITIONING : มีใครมาชวนหรือคิดจะลาออกไปทำงานกับบริษัทอื่น

ธนา : ยอมรับว่ามีผู้ใหญ่ระดับสูงชวนไปทำงาน ผมบอกปฏิเสธไปทันที ขอแค่ไปทานข้าวด้วย ผมไม่ไปไหนในช่วงระยะอันใกล้ แต่อีก 1-2 ปีข้างหน้าไม่มีใครบอกได้ ถ้าผมไม่สนุกแล้ว หรือเทเลนอร์เขาอาจไม่ให้ผมทำแล้วก็ได้ แต่ระยะอันใกล้หรือกลางไม่มีอยู่ในหัวเลย ผมยืนยันว่าไม่ไปไหน

POSITIONING : บทบาทในตำแหน่งต่อไปต้องรับผิดชอบอะไรบ้าง

ธนา : ผมต้องรวบรวมเรื่องภาพลักษณ์องค์กร งานCSR กฎหมาย และยุทธศาสตร์มารวมกัน และหาทิศทางว่าจะทำเพื่ออะไร อย่าง CSR ต่อไป อาจทำคู่กับ กสท โทรคมนาคมได้ ผมจะผลักดันในทางเป็นมิตรมากขึ้น หรือเรื่องของการที่ดีแทคต้องลงทุนอะไรใหม่ๆ เช่น ต้องมี Wi-Fi ถ้ามีแล้วจะลงทุนเอง หรือว่าจะรวมทุนกับใคร ซึ่งเดิมดีแทคไม่มีคนทำหน้าที่ตรงนี้ ผู้ถือหุ้นก็ค่อนข้างเปิดกว้าง เพียงแต่เราไม่มีคนไปบอกเขาว่าต้องทำ เลยทำให้เรานิ่งเกินไป ต้องมีการลงทุนตรงนี้บ้างจะได้รู้สึกตื่นเต้น แต่เราไม่ได้ลงทุนไปซื้ออะไรง่ายๆ เหมือนคู่แข่งอีก 2 ราย

ส่วนคุณเพ็ตเตอร์ เฟอร์เบอร์ก อดีตรองประธานเจ้าหน้าที่การเงินของดีแทค ปัจจุบันรับผิดชอบงานพัฒนาธุรกิจ และวิจัยให้กับกลุ่มเทเลนอร์ จะมาเริ่มงานเดือนพฤษภาคม เวลานี้ผมคงต้องดูแลไปก่อน ทั้งผมและคุณเพ็ตเตอร์เองคงต้องใช้เวลาสัก 2-3 เดือนเรียนรู้งานใหม่

POSITIONING : อะไรคือสิ่งที่ท้าทายในตำแหน่งใหม่

ธนา : ช่วงแรกผมคงเดินๆ ไปหาคนที่เกี่ยวข้องกับงานใหม่ ฟังก่อนว่าเรามีจุดอ่อนอะไร เดินไปหาหน่วยงานรัฐ กสท โทรคมนาคม ทีโอที ไปหาธนาคาร ไปเจอซัพพลายเออร์ ไปพบ NGO ไปคุยกับเทเลนอร์ถามว่าดีแทคยังมีจุดบกพร่องอะไรบ้างที่อยากให้เราแก้ไข มาดูว่าอันไหนแก้ได้บ้าง รู้ปัญหาตรงไหน และค่อยๆ พัฒนาแผน เรื่องไหนที่แก้ได้ เรื่องไหนแก้ไม่ได้ ก็มานั่งดูกันอีกที

POSITIONING : ดีแทคยังมีจุดอ่อนกับหน่วยงานเหล่านี้

ธนา : ที่ผ่านมาเราไม่ค่อยไปทำอะไรเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมโทรคมนาคม ผมเลยต้องไปคุยกับคุณขจร เจียรวนนท์ ผู้บริหารจากทรู ไปพบคุณวิเชียร เมฆตระการ ซีอีโอเอไอเอส ที่ต้องแข่งเราก็แข่งกันไป แต่เราก็ต้องร่วมกันทำเพื่ออุตสาหกรรมดีขึ้น อย่าง Number Portability ก็ต้องคุยกัน หรือเรื่องCSR เราอาจไปร่วมมือกับ ทาง กสท โทรคมนาคม หรือ ทีโอที ทำด้วยกันได้ กสทฯ เขาก็เป็นเจ้าของสัมปทานอยู่แล้ว แต่คุณซิคเว่ทำหน้าที่ตรงนี้ พอคุณซิคเว่ไม่อยู่ก็เลยแผ่วลง คุณทอเร่เขาเก่งทางด้านโอเปอเรชั่น และเขาเพิ่งมาใหม่ต้องใช้เวลา

POSITIONING : ในตำแหน่งเดิมของคุณธนา ก็น่าจะทำหน้าที่ตรงนี้ได้

ธนา : ทำได้ แต่ทำโดยไม่มีหน้าที่ชัดเจน ถ้ามีตำแหน่งแน่ชัดทำให้เราวางแผนล่วงหน้าได้ อย่างช่วง 2-3 เดือนที่แล้ว ทรูเขาไม่ค่อยแฮปปี้กับเราเพราะเข้าใจผิดคิดไปว่าเราไปบล็อกสัญญาณ 3G ที่เขาทดลองอยู่ ซึ่งเขาอาจฟ้องเราก็ได้ พอดีผมได้คุยกับคุณขจร เจียรวนนท์ ผู้บริหารของทรู ซึ่งเรียน วตท.รุ่นเดียวกัน ผมไปเคลียร์ให้ ผู้บริหารระดับสูงของดีแทคว่าไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีปัญหานี้ ตอนนี้ก็แก้ปัญหาไปแล้ว

POSITIONING : เรื่อง Corporate แบรนด์ วางแนวทางอย่างไร

ธนา : ผมจะใช้เวลา 6เดือน คิดว่าจะทำอะไรใหม่ๆ ได้ ทีมงานคุณซิคเว่เขาก็ให้แง่คิดกับผม เขาบอกว่า ให้คิดหาท่าไม้ตาย หรือคิดคำคำหนึ่ง และใช้คำนั้นในการขยายให้คนทั่วไปรับรู้ ในเมื่อดีแทคมี DNA คือเราคนดี ผมนึกถึงคำว่า Good Guy และเรามีดีหลายๆ เรื่องที่ยังไม่เคยพูด เช่น เราเป็นองค์กรในไทยรายเดียวที่มีระบบตามมาตรฐานของโลก ทั้งมาตรฐานของนอร์เวย์ ซึ่งได้ชื่อว่าติดอันดับคอรัปชั่นต่ำที่สุดในโลก และเรายังต้องทำตามกฎของสหรัฐอเมริกา เพราะเทเลนอร์จดทะเบียนอยู่ในตลาดหุ้นอเมริกา ซึ่งช่วงวิกฤตเศรษฐกิจที่ผ่านมาเราก็เข้มงวดมาก เราน่าจะพูดเพื่อให้สังคมได้รับรู้ เป็นไอเดียคร่าวๆ

POSITIONING : ทำไมทางเทเลนอร์ถึงเลือกคุณเพ็ตเตอร์ ไม่มีประสบการณ์ด้านการตลาด แถมยังเป็นต่างชาติ

ธนา : คุณเพ็ตเตอร์เขาเป็นเพื่อนผม เคยทำงานกอบกู้ดีแทคมาด้วยกัน ช่วงนั้นเขาเป็น CFO ผมเป็น CMO เขาช่วยผมได้มาก อย่างเวลานั้นผมขอลดค่าบริการ เขาก็ให้ความร่วมมือ เขาเป็นคนเข้าใจ และรู้จักคนในดีแทคมากกว่าครึ่ง และลูกน้องก็รักเขา เพียงแต่ช่วงหนึ่งที่เขาต้องกลับนอร์เวย์ เพราะภรรยาเขาอยากกลับ พอกลับไปเทเลนอร์คุณเพ็ตเตอร์ได้ไปทำด้านอินเทอร์เน็ต และความรู้ทางด้านนี้แหละที่น่าจะช่วยดีแทคได้ดีในยุคนี้ ซึ่งต้องใช้ความรู้ด้านอินเทอร์เน็ตมาช่วยอย่างมาก ส่วนเรื่องการตลาด ลงจากคุณเพ็ตเตอร์ เป็นคนไทยทั้งหมด คือน้องๆ ผมเขาช่วยอยู่แล้ว

POSITIONING : ถ้าเป็นคนไทยน่าจะรู้ตลาดได้ดีกว่า

ธนา : ส่วนตัวหวังไว้ว่า หลังจากคุณเพ็ตเตอร์แล้วจะเป็นโอกาสของน้องๆ ในทีมคนไทยบ้าง ถามว่าเวลานี้พวกเขาพร้อมกันมั้ย…ผมบอกเลยว่ายังไม่พร้อม อาจต้องใช้เวลาอีก 2-3 ปี เพราะคนที่จะอยู่ตรงนี้ ต้องทำ 2 ด้าน รู้ทั้งตลาดไทย และต้องคุยกับผู้ถือหุ้น ต้องบาลานซ์ทั้งสองส่วน ลูกน้องผมอาจมองภาพตลาดไทยได้ดี แต่อาจขาดประสบการณ์เรื่องการเงินกำไรขาดทุน เพราะต้องไปพรีเซนต์ให้เทเลนอร์ว่า อย่างของการตลาดไม่ใช่แค่การสร้างแบรนด์ แต่เป็นเรื่องกำไรขาดทุน น้องๆ เขาต้องเรียนรู้สิ่งเหล่านี้

POSITIONING : หลังจากคุณธนาแล้ว ต้องมีการขยับโครงสร้างองค์กร

ธนา : ผมรู้จักซิคเว่ดี เขาอยากให้เปลี่ยนเพื่อให้รู้สึกตื่นเต้น ทอเร่เองก็มีโจทย์ให้เปลี่ยนโน่นเปลี่ยนนี่ และไม่ใช่ผมคนเดียวในดีแทค ต้องเปลี่ยนมากกว่านี้

POSITIONING : ที่ผ่านมาจังหวะไหนในชีวิตที่ถือว่าประสบความสำเร็จมากที่สุด

ธนา : เป็นช่วงที่ได้ทำงานกับคุณซิคเว่ และคุณวิชัย เบญจรงคกุล ประมาณปี 2003 -2007 เราสามารถฟื้นดีแทคที่เคยแพ้จนติดมุมให้ฟื้นขึ้นมาได้ ผมสนุกจนต้องเขียนหนังสือออกมา มีทีมงานร่วมรบด้วยกันมีร้องไห้ หัวเราะ น้ำตา สนุกมาก แต่ก็สอนเราเยอะ เมื่อไหร่ที่สำเร็จก็ยิ่งลมเหลว มีหลายช่วงที่เชื่อมั่นตัวเองเกินไป มีครั้งหนึ่งที่ผมไปพูดความเห็นเรื่องเลือกตั้ง และถูกแปลความหมายผิด ผมโดนหนักมาก อีกช่วงคือทำงานหนักมาก สู้สงครามตลาดเยอะๆ ไม่ได้ดูแลตัวเอง อ้วนมากจนต้องเข้าโรงพยาบาล เวลาที่เราไปโดนอะไรแรงๆ สักที ทำให้เราคิดได้ว่า อย่าเหิมเกริมมาก ต้องบาลานซ์ให้พอดี ไม่ให้สูงมาก เพราะตกลงมาแล้วจะเจ็บ แต่ไม่ได้ถึงกับไม่ทำงาน ยังทำงานแบบสนุกสนาน เริ่มเข้าใจตัวเองว่าอยากได้อะไร

POSITIONING : การทำงานช่วงไหนสอนบทเรียนมากที่สุด

ธนา : ช่วงที่ผมลาออกจากดีแทคประมาณปี 2000 ตอนนั้นผมดู Product and Service เวลานั้นอีโก้เยอะ ทั้งคุณบุญชัย เบญจรงคกุล คุณเฮเลน่า (อดีต Co-CEOผู้บริหารจากเทเลนอร์) เขารักผมมากก็เลยทำตัวเกเร อยากมีตำแหน่ง อยากรวย ทะเลาะกับคนอื่นเขาไปหมด พอมีหัวหน้ามาคุมก็คิดว่าเขาไม่เก่ง ดื้อโวยวาย ตัดสินใจลาออก คิดว่าจะต้องสั่งสอนดีแทคให้รู้ว่าเราเจ๋ง ถ้าเราออกแล้วเขาต้องกระทบแน่ๆ พอออกไปจริงดีแทคไม่ได้กระเทือนเลย ห้องที่เคยอยู่ก็มีคนมานั่ง ตัวเราเองกลับได้รับผลกระทบเยอะ บางคนรู้ว่าไม่มีอำนาจแล้วน้ำเสียงเปลี่ยนเลย คนที่เคยดีเขาก็อยากตามเราออกไป แต่คนที่เราเคยร้ายเขาพร้อมจะเหยียบ ผมเลยรู้สึกเหมือนถูกตีหัวอย่างแรง เริ่มรู้แล้วว่าเป็นเพียงหมวกที่เราสวมอยู่ พอได้โอกาสกลับมาดีแทคอีกครั้ง ผมนิ่มลง ไม่เล่นการเมือง ทำงานชัดเจน ตั้งใจเลยว่าไม่ว่าจะอยู่ตรงไหนก็ตาม เมื่อต้องลุกออกไปแล้ว ผมอยากลุกออกไปแบบเท่ๆ

POSITIONING : ประสบการณ์ที่คุณได้รับจากซิคเว่ เบรคเก้ และทอเร่ จอห์นเซ่น แตกต่างกันอย่างไร

ธนา : สองคนทำงาน 2 สไตล์ ทอเร่เหมาะกับตั้งรับ เขารู้เรื่องเทเลคอมดีมากรู้เรื่องต้นทุน รู้ขั้นตอนการทำงาน รู้ว่าควรลดค่าใช้จ่ายตรงไหน เป็นเรื่องบังเอิญที่เขาเข้ามานั่งเป็นซีอีโอในช่วงที่เศรษฐกิจไม่ดี ก็เลยช่วยลดต้นทุนได้เยอะ ช่วยให้ดีแทครอดพ้นไปได้ ส่วนซิคเว่ เขาจะเป็นแนวรุก ยกตัวอย่าง ถ้าขอลดค่าแอร์ไทม์ ซิคเว่บอกให้ลุยเลย ส่วนทอเร่ เขาจะคำนึงถึงต้นทุน ต้องวางแผน เป็นระบบ ต้องมีเอกสาร มีคนบอกผมว่า ถ้าได้เรียนรู้จากทั้งสองคนจะเป็นอะไรที่สมบูรณ์มาก

POSITIONING : เตรียมเขียนพ็อกเกตบุ๊กเล่มใหม่หรือยัง

ผมไม่อยากเป็นคนให้คนรู้จักเยอะ ผมจะพูดทุกครั้งว่าไม่อยากมีชื่อเสียง ถ้างานไหนไม่จำเป็นผมไม่ไป งานกลางคืนผมไม่ไป แต่ที่ผ่านมามันยังยากที่จะทำแบบนั้น ดีแทคไม่มีคนออกไปข้างหน้า ผมเลยต้องทำหน้าที่นี้ ซึ่งตอนที่ผมยังไม่มีชื่อเสียง ก็เคยรู้สึกว่าถ้ามีแล้วจะเป็นยังไง แต่พอมีแล้วก็รู้ว่าไม่ชอบ ถ้าเลือกได้ผมอยากอยู่เงียบๆ

POSITIONING : ชีวิตต่อไปถ้าเลือกได้อยากทำอะไร
จะทำงานเบาลง ถ้าเก็บเงินได้ก้อนหนึ่ง ผมอยากทำงานที่เบาลงได้ อนาคตถ้ามีคนมาจ้างผมเป็นที่ปรึกษา 2วัน และให้เงินเดือนเท่าเดิม ผมอาจจะไปก็ได้ เป็นเรื่องของอนาคต แต่ระยะสั้นและกลางยืนยันว่าไม่ไปไหน…แน่นอน

ครอบครัวเป็นเบอร์ 1 ของผม

ในวัยเพียงแค่ 41 ปี ธนาปฏิเสธตำแหน่งเบอร์ 1ในองค์กร และไม่ขอสะสมเงินทองมากไปกว่านี้ เงินเดือนที่ได้อยู่เขาบอกมากพอที่จะทำให้เขาใช้ชีวิตกับครอบครัวได้สบายๆ ที่มีคุณตั๊กหรือ วรินดา ภรรยา และลูกสาววัยกำลังซน น้องโมเน หรือ มนิชา วัย 6 ขวบครึ่ง และน้องเมนิ หรือ เมธิกา เธียรอัจฉริยะ วัย 5 ขวบ

เราได้พบกับครอบครัวของธนา อยู่กันหน้าพร้อมตาในบ่ายวันอาทิตย์วันหนึ่ง ในบ้านขนาด 100 กว่าตารางวา ตั้งอยู่โครงการหมู่บ้านจัดสรรแห่งหนึ่งย่านประชาชื่น โดยมีลูกสาวทั้งสองคลอเคลียคุณพ่ออยู่ไม่ห่าง คุยได้สักพักเดียวคุณตั๊กก็เข้ามาสมทบ การสนทนาในวันนั้นจึงเต็มไปด้วยไออุ่นของครอบครัวน้อยๆ

“บ้านเดิมของผมอยู่ในหมู่บ้านการ์เด้นท์ ซิตี้ เป็นทาวน์เฮาส์อยู่กับน้องสาว 3 คน พอแต่งงาน ก็อยากได้บ้านที่มีบริเวณ เลยแยกออกมา เลือกอยู่หมู่บ้านนี้ก็ไม่ไกลกับครอบครัวของน้องสาว ผมอยู่มาได้ 5 ปีแล้ว ซื้อที่ดินและปลูกเอง ตอนนั้นตารางวาละ 5 หมื่นกว่าบาท ส่วนตัวบ้านก็สร้างเอง พ่อผมเขาหาสถาปนิกจากโคราชมาให้ เพิ่งผ่อนหมดเร็วๆ นี้”

การใช้ชีวิตส่วนใหญ่ของธนาทุกวันนี้ เรียกได้ว่าเป็น Family Manเต็มตัว ธนาบอกว่าทุกวันนี้เขาไม่มีงานอดิเรก หากไม่มีงานสำคัญ หรือจำเป็นจริงๆ เขาจะตรงดิ่งจากที่ทำงานกลับบ้านทันที เพื่อมาอยู่กับลูกและภรรยา

“ผมจะออกจากบ้านไปทำงานประมาณหกโมง ไปส่งลูกไปโรงเรียนมาแตร์เดอี จากนั้นไปวิ่งสวนลุมฯ ไปเริ่มทำงานตอน 8.30 โมง หากไม่มีงานที่จำเป็นจริงๆ 6 โมงเย็นก็ออกจากออฟฟิศ พอ1ทุ่มก็ถึงบ้านแล้ว สองทุ่มครึ่งก็นอนแล้ว บางทีต้องโทรตามภรรยา ชีวิตไม่เหมือนกับ 5 ปีที่แล้ว ต้องกลับดึกๆ วันหยุดเสาร์อาทิตย์ ก็ยังต้องคิดเรื่องงานตลอด ซิคเว่จะส่ง SMS มาตลอด”

ธนา บอกว่า เขาบอกลาชีวิตที่เต็มไปด้วยงาน ขอมีเวลาให้กับครอบครัวเต็มที่ “ถ้าต้องไปทำงานดึกๆ หรือทำงานภายใต้เครียดผมไม่เอาแล้ว อยากกลับบ้าน มีเวลากับครอบครัว”

แรงใจคนแรกของเขาคือภรรยา ธนารู้จักกับคุณตั๊กจากการแนะนำจากเพื่อนของเพื่อน เป็นช่วงที่ธนาทำงานอยู่ฝ่ายการเงินที่ดีแทค “มีเพื่อนแนะนำมา 5 ต่อ ผมเองก็ขี้อายมากเลยใช้วิธีส่ง SMS ซึ่งก็โชคดีที่เราทั้งคู่ใช้เบอร์ดีแทคเหมือนกัน เพราะเวลานั้นมือถือยังส่ง SMSข้ามค่ายไม่ได้ ส่งจนคล่องเลย”

คบกันได้ปีครึ่งก็ตกลงใจแต่งงานในเดือนสิงหาคม 2001 ลูกคนแรก น้องโมเนคลอดตอนแบรนด์แฮปปี้ออกสู่ตลาดพอดี แถมลูกสาวคนนี้ยังเคยขึ้นเวทีแถลงข่าว “เบบี้ซิม” ในวัย 4-5 เดือน

“ครอบครัวเราเติบโตมาพร้อมกับแบรนด์แฮปปี้ เจอกับตั๊กได้เดือนเดียว คุณบุญชัย เบญรงคกุล ก็ประกาศยึดตึกดีแทค เวลานั้นในบริษัทวุ่นวายมาก ผมเลยนัดกับตั๊กคุยกันข้างนอก เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ทำให้เรารู้จักกันมากขึ้น”

คุณตั๊กนั้น จบปริญญาตรี มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ABACจากนั้นไปเรียนต่อสหรัฐอเมริกา กลับทำงานเป็น Management Trainee ในบริษัทเบอร์ลี่ยุคเกอร์ได้พักใหญ่ ทุกวันนี้เธอลาออกมาเป็นเจ้าของธุรกิจเต็มตัว โดยเปิดบริษัทกราฟิกดีไซน์ ใช้ชื่อว่า “ฟาร์มกรุ๊ป” ลงทุนร่วมกับน้องชายคนเล็ก รับงานออกแบบกราฟิกมาแล้วหลากหลายธุรกิจ ยกเว้นดีแทค ที่ธนาบอกว่าห้ามภรรยารับงานเด็ดขาด เพื่อกันข้อครหา

ตั๊ก เล่าว่า พี่โจ้ หรือ ธนา เป็นคนสบายๆ ชีวิตคู่จึงไม่ต้องปรับตัวมาก ส่วนเธอเองก็ไม่มีเงื่อนไขมาก แต่ขอไว้ 2 เรื่อง ลูกที่เกิดมาต้องนับถือศาสนาคริสต์เหมือนกับเธอ และถ้าเป็นผู้หญิงต้องเรียนโรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัย เวลานี้ทั้งน้องโมเนเรียนอยู่ชั้นประถม 1 ส่วนน้องเมนิ เรียนอยู่ชั้นอนุบาล 3โรงเรียนมาแตร์เดอีฯ โดยทุกอาทิตย์เธอจะพาลูกสาวทั้งสองไปโบสถ์ในซอยร่วมฤดี พร้อมหน้าพร้อมตาครอบครัวฝั่งคุณตั๊ก

“เราทั้งคู่ไม่ได้วางแผนอะไรให้กับลูกว่าจะต้องไปเรียนเมืองนอก เราจะคิดกันไปตาม Stepของชีวิต ผมเป็นมนุษย์ที่อะไรก็ได้ อย่างตอนสร้างบ้านหลังนี้ จริงๆ แล้วผมอยากได้แบบโมเดิร์น แต่ในที่สุดผมก็ตามใจพ่อแม่ผมกับภรรยา ตัวผมแทบไม่ได้ยุ่งเลย ทำอะไรก็ได้ให้ทุกคนแฮปปี้”

ธนาและภรรยา บอกว่า เขาไม่ได้มีหลักในสอนลูกอะไรเป็นพิเศษ จะให้ความใกล้ชิด เพียงแต่อยากให้เป็นคนอารมณ์ดี มองโลกแง่ดี “น้องโมเน เขาจะเหมือนแม่ ออกแนวศิลปิน อารมณ์ดีทั้งวัน ขอไปเรียนเปียนโน เรียนบัลเลต์ ส่วนคนเล็กจะไปทางพ่อ ทั้งหน้าตา และชอบอ่านหนังสือ” พูดจบธนาก็พาไปดูตู้หนังสือขนาดใหญ่ บนชั้น 1 และชั้น 2 ที่บรรจุหนังสือต่างๆ พ็อกเกตบุ๊ก นิยายที่เขาสะสมไว้

นอกจากชีวิตส่วนตัวที่ครอบครัวนี้จะใกล้ชิดสนิทสนม “พี่โจ้เขาจะติดลูกมาก ถ้าตั๊กพาไปไหนนานๆ เขาจะโทรตาม หรือถ้าเขาต้องไปต่างจังหวัด หรือต่างประเทศ จะโทรมาหาลูกตลอด” ชีวิตการทำงานของเขาก็เช่นกัน ธนาบอกกับผู้เป็นภรรยาเสมอว่า ให้เตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลง “พี่โจ้เขาจะบอกตลอดว่า มันเป็นหัวโขน อย่ายึดติด ก็มีคนโทรมาถาม ก็แล้วแต่เขา เขารู้อยู่แล้วว่าเขาทำอะไร พี่โจ้เขาจะพูดตลอด หัวโขนนะ อย่าไปยึดติด เราก็ไม่ยึดติด งานก็คืองาน กลับมาบ้านแล้วก็เหมือนเดิม”

เมื่อถึงเวลาจริงๆ สิ่งแรกที่ธนาทำคือ โทรบอกภรรยา “พี่โจ้เขาโทรมาบอกมีการเปลี่ยนแปลงนะ ตั๊กก็บอกเขาไปว่าดีๆ เพราะเราเตรียมตัวคิดถึงช่วงนี้กันอยู่แล้ว”

เป็นช่วงเวลาเล็กๆ ที่เราได้รู้จักครอบครัวน้อยๆ ของเขา ธนาบอกว่า จะเอาอะไรมาแลก ตำแหน่ง เงินทอง ชื่อเสียง ก็ไม่ยอม และอีกไม่กี่วันนี้ครอบครัวนี้จะบินลัดฟ้าไปญี่ปุ่น แน่นอนว่า ปีนี้เขาและครอบครัวจะมีเวลาท่องเที่ยวได้นานกว่าเดิมมากนัก

ประภาส ชลศรานนท์

เป็นบุคคลที่ ธนา มักบอกเสมอว่า เขาได้รับอิทธิพลทางความคิดในการใช้ชีวิต ธนาให้เหตุผลว่า “ผมเป็นคนที่มีความสุขมากที่สุดคนหนึ่ง ก็เลยมี Idolทางความคิดที่ให้แง่คิด เพื่อมองในมุมกลับ และคิดเปลี่ยนแปลง ผมเป็นคนที่ไม่สะสมอะไรทั้งนั้น ชีวิตเวลานี้ผมแฮปปี้ดี จะไปดิ้นรนทำไม คุณประภาสก็เป็นแบบนี้ เขาจะบอกว่า เขาเสียใจทุกครั้งที่กลับมาไม่ทันพาลูกเข้านอน ผมจะร้องเพลงกล่อมลูกและเล่านิทานเรื่องรามเกียรติ์ให้ลูกฟังตลอด”

ไอดอล อีกคนคือ สราวุธ เฮ้งสวัสดิ์ หรือ นิ้วกลม เจ้าของหนังสือท่องเที่ยวโตเกียวไม่มีขา และ สรกล อดุลยานนท์ เจ้าของนามปากกา หนุ่มเมืองจันท์

หนูดี -วนิษา เรซ

อีกคนที่เป็นไอดอลทางความคิดที่ทำให้เขาซ้อมคิดซ้อมมองว่า วันหนึ่งหากต้องถึงจุดจบของตำแหน่งที่ทำอยู่ คือ หนูดี หรือ วนิษาเรซ เจ้าของหนังสือ อัจฉริยะสร้างสุข “ผมคิดถึงจุดจบ ผมอ่านมาจากหนังสือของคุณหนูดี ผมจะซ้อมตัวเองไว้เสมอเลยว่า วันหนึ่งผมต้องลุกจากเก้าอี้”

ซิคเว่ เบรคเก้

เป็นอดีตซีอีโอ ดีแทค ซึ่งปัจจุบันนั่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เทเลนอร์ เอเชีย และรองประธาน เทเลนอร์ กรุ๊ป เป็นธนาบอกเสมอว่า “เป็นเจ้านายที่ผมเคารพที่สุด ผมไม่เคยไม่เชื่อเขาเลย เขาบอกให้บุกน้ำลุยไฟ ผมก็ไป”