ถ้าหากเป็นเกมการต่อสู้ในสงคราม ก็เรียกได้ว่า “กองทัพเสื้อแดง” นปช. ประสบความสำเร็จ ที่เลือกเข้ายึดยุทธภูมิราชประสงค์ เป็นการเข้าตีได้ถูกจุดถล่ม “คลังเสบียง” ฝ่ายตรงข้าม สร้างแรงกดดันให้ศัตรู
เพียงแต่เกมนี้ไม่ใช่การรบในสงครามกับศัตรูต่างบ้านต่างเมือง แต่เป็นเรื่องของคนไทยด้วยกัน ที่เข้าห้ำหั่นกันด้วยการปลุกปั่นโดยผู้บงการคนเดียว ทักษิณ ชินวัตร นักโทษชายหนีคดี
จัดจ้างแกนนำ จัดตั้งกองทัพ นปช.บุกเข้าเผาเมือง!
อีกทั้งคลังเสบียงที่เข้าตี “คลังราชประสงค์” ไม่ใช่คลังเสบียงของฝ่ายรัฐบาล หรือคลังของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่บริเวณพื้นที่ย่านนี้คือ อีก “คลังเศรษฐกิจ” ของประเทศไทย
ศูนย์กลางการค้าขายสำคัญ ที่วันนี้ต้องสูญเสียย่อยยับมหาศาล วายป่วงเพราะคำสั่งการให้ปฏิบัติการให้เป็นไปตามคำขู่อาฆาต “บ้านเมืองเละแน่”
“เละ” อย่างความต้องการของ “ทักษิณ”จริงๆ
จนถึงวันที่ปิดต้นฉบับนี้ ครบ1เดือนในการรุกเข้ายึดพื้นที่ราชประสงค์ของกลุ่ม นปช.ประเมินมูลค่าความเสียหายทั้งห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ โรงแรมหรู 4-5ดาว ธุรกิจการค้าในย่านราชประสงค์เสียหายทั้งหมดหลายหมื่นล้านบาท
ขณะที่พื้นที่ใกล้เคียงที่ได้รับผลกระทบ ทั้งย่านสีลม ย่านธุรกิจการค้า การเงิน และแหล่งท่องเที่ยวในยามราตรี ตัวเลขใกล้เคียงกัน
รวมทั้งพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบอื่นๆ ทั้งโบ๊เบ๊ ประตูน้ำ ย่านค้าส่งสำคัญ เจอพิษม็อบกระอักไปด้วย
ยังไม่รวมผลกระทบต่อเนื่อง “ลูกโซ่” ความเสียหายจากเกมบ้าบิ่นของคนบ้าคลั่ง ทำให้หลายภาคธุรกิจต้องประสบคราวเคราะห์ ทั้งภาคการท่องเที่ยวและบริการ ภาคธุรกิจการจัดประชุมและนิทรรศการ ที่เป็นรายได้หลักนำเงินตราเข้าประเทศ เสียหายจนยากประเมิน
เพราะไม่เฉพาะนักท่องเที่ยวต่างชาติ องค์กรธุรกิจที่มีแผนจะเข้ามาจัดประชุม สั่งยกเลิกกำหนดการ หลายประเทศประกาศเตือนประชาชนระมัดระวัง ชะลอ จนกระทั่งสั่งห้ามเดินทางมายังประเทศไทย
ขึ้นป้ายไทยแลนด์ เมืองอันตราย!
ภาพพจน์ภาพลักษณ์ของประเทศเสียหาย บ้านเมืองย่อยยับจนยากจะประเมินความสูญเสีย และยังไม่รู้ว่าจะกู้เครดิตไทยที่เสื่อมสูญไปใน “วิกฤตเสื้อแดง” อย่างไร และเมื่อใด
ไม่เท่านั้น ผลกระทบจากม็อบยึดใจกลางกรุงครั้งนี้ กินวงกว้างสร้างความเสียหายไปทั้งประเทศ
นปช.กินเมืองยังกิน “ทางลึก” ไปถึงกลุ่มคน “รากหญ้า”
หาก “ม็อบเสื้อแดง” ยังไม่เลิกรา หรือรัฐบาลไม่สามารถจัดการคืนพื้นที่ให้คนทำมาหากิน ธุรกิจการค้าไม่สามารถกลับมาเปิดกิจการ บรรดาคนระดับกลางไปจนจนระดับล่างจะได้รับผลกระทบเพิ่มขึ้น
ทั้งภาคเอสเอ็มอี ร้านค้าย่อย ค้าส่ง ไปจนกระทั่งพ่อค้าแม่ขายหาเช้ากินค่ำ ลูกจ้างพนักงานโรงแรม พนักงานห้าง พนักงานรายวัน คนทำงานหลักหมื่นคนอยู่ในภาวะเสี่ยงตกงาน
ม็อบยืดเยื้อไปนานเท่าไร การปลดโละพนักงานก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น รากหญ้ากระอัก เพราะน้ำมือม็อบที่เรียกตัวเองว่า “ไพร่”
ไม่เท่านั้น หากมาพิจารณาถึง “กรอบคิด” ของกลุ่มคนระดับแกนนำ นปช. ที่มองว่าจำเป็นต้องยึดพื้นที่สำคัญ เพื่อกดดันรัฐบาลให้ทำตามที่เรียกร้องคือ “การยุบสภา” เป็นหมากเกมที่กระหน่ำตี “ถูกจุด” แทงเข้าที่ “หัวใจศัตรู” กลุ่มทุน “อำมาตย์”
แต่แท้ที่จริง “ทุนราชประสงค์” ก็ไม่ใช่ว่าเป็น “ทุนศัตรู” ของทักษิณ เพียงเท่านั้น!!
เพราะข้อเท็จจริง ธุรกิจการค้าในย่านแยกราชประสงค์ ไม่เพียงที่ทักษิณ แอนด์ เดอะแก๊ง มองเป็นขั้วตรงข้าม ทั้งกลุ่มเดอะมอลล์ ในห้างพารากอน-สยาม กลุ่มเจ้าสัวเจริญ ศิริวัฒนภักดี ที่เซ็นเตอร์พ้อยท์
กลุ่มเซ็นทรัลฯ ของตระกูลจิราธิวัฒน์ และเครือข่าย คมช. ศูนย์การค้าเพนนินซูล่า ของคนนามสกุล “ปิยะอุย-สาลีรัฐวิภาค”
ภาคธุรกิจย่านถนนสีลม ที่เกือบจะโดนเต็มๆ ทั้งเครือข่ายธุรกิจการค้าของเจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์ เครือซีพี กลุ่มธนาคารกรุงเทพ ของตระกูลโสภณพนิช โรงแรมดุสิตธานี ของท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย สมาชิกคนสำคัญใน “คณะ11” ของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์
แต่อำมาตย์อีกกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากม็อบ ก็มี “อำมาตย์” ที่เป็น “พวกทักษิณ” อาทิ โรงแรมแกรนด์ไฮแอทเอราวัณ โรงแรมเจ ดับบลิว แมริออท ศูนย์การค้าอัมรินทร์พลาซ่า เพลินจิตเซ็นเตอร์ มี 3หุ้น จาก3ตระกูล ที่เกี่ยวโยงถือหุ้นไขว้ มีสัมพันธ์อันดีกับระบอบทักษิณ
ทั้งตระกูลวัธนเวคิน ก็มีลูกเขย พงศ์เทพ เทพกาญจนา เป็น “ไพร่” รับใช้ทักษิณมาตลอด
ตระกูล “ว่องกุศลกิจ” ที่เกาะเกี่ยวทางธุรกิจกับกลุ่ม “เอื้ออภิญญกุล” ที่มี วรวัจน์ อภิญญกุล ส.ส.แพร่ เพื่อไทย ทายาทพ่อเลี้ยงเมธา เอื้ออภิญญกุล ที่ร่วมลงหุ้นอยู่กับสองตระกูลข้างต้น เครือข่าย “ดิเอราวัณกรุ๊ป” ก็เจ็บปวดเพราะม็อบของทักษิณ เช่นกัน!
ขณะที่โรงแรมอินเตอร์คอนติเนลตัล โรงแรมฮอลิเดย์อินน์ ห้างเกษรฯ อาคารมณียา เพรสซิเดนท์ ทาวเวอร์อาเขต ของคนในตระกูลศรีวิกรม์ ส่วนหนึ่งแม้ ทยา ทีปสุวรรณ ศรีวิกรม์ รองผู้ว่าฯ กทม. จะอยู่ในขั้วประชาธิปัตย์ แต่ลูกชายของเสี่ยเฉลิมพันธ์ อย่าง พิมล ศรีวิกรม์ ก็เคยอยู่กับระบอบทักษิณ และวันนี้ก็ปักหลักในเครือข่าย ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตขุนคลัง ที่แตะมือทางการเมืองอยู่กับพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย
ก็ไม่รู้ว่าถึงตอนนี้ เมื่อธุรกิจของครอบครัวมาเจอกับพิษ “ม็อบคลังแม้ว” จะทำให้ “ศรีวิกรม์” สาย “สมคิด-บิ๊กจิ๋ว” ที่กลับไปลิงค์กับทักษิณอีกครั้ง จะขอถอนตัวไม่ “ร่วมแผน” แล้วหรือไม่?
เห็นได้ชัดว่า “ทักษิณ” ทำลายล้างไม่เลือกหน้า ไม่แค่ถล่มอำมาตย์ แต่บอมบ์ไม่สนฝ่ายไหนพวกใด ทำลายล้างไม่เลือกหน้า ก่อการร้ายของแท้!
ถึงตรงนี้ก็คงต้องบอกว่า เมื่อประชาชนคนไทย และบ้านเมืองต้องบอกช้ำ “เจ็บ” เพราะทักษิณ และม็อบ นปช.กันถ้วนทั่วแล้ว และยอม “ทนเจ็บ” เพื่อให้ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกฯ จัดการขบวนการก่อการร้ายทำลายบ้านเมือง
สิ่งที่ต้องเร่งทำควบคู่ไปกับการคืนพื้นที่ กำจัดขบวนการก่อการร้าย เรียกกลับความสงบสุขของบ้านเมืองกลับคืนมา
จะ ต้องดูแลผู้คนที่ “บาดเจ็บ” จาก “แผลเศรษฐกิจ” อย่างเป็นรูปธรรมควบคู่ไปด้วย!
อภิสิทธิ์ และคณะรัฐมนตรี จะต้องมีมาตรการออกมาช่วยเหลือผู้ประกอบการอย่างเป็นรูปธรรมและโดยด่วนที่สุด นอกจากกลุ่มทุนกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ที่ได้รับผลกระทบ
จะต้องเหลียวแลและเข้าไปให้การอุ้มชูผู้ประกอบการขนาดกลาง ขนาดเล็ก คนหาช้าวกินค่ำ พนักงาน ลูกจ้าง
เพราะคนชั้นกลาง คนรากหญ้า ผู้คนตัวเล็กตัวน้อยในสังคม เจ็บปวดหนักยิ่งกว่า
และเชื่อได้ว่า ไม่ว่าปัญหาม็อบจะจบลงอย่างไร ถึงที่สุดหากมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเกิดขึ้นในทางใดทางหนึ่ง กลุ่มคนในขั้วตรงข้ามรัฐบาลปัจจุบัน รัฐบาลอื่นคงไม่ทุ่มเทในการให้ความช่วยเหลือกลุ่มคนกลุ่มที่ได้รับผลกระทบในครั้งนี้
เห็นกันชัดแล้วว่า “ม็อบ นปช.” และทักษิณ โหดและเหี้ยมเกินกว่าจะสนใจในความเสียหายต่อผู้คนและชาติบ้านเมือง ถึงที่สุดแล้วจะกลับมามีอำนาจอีกครั้งก็คงไม่เยียวยารักษา
ปล่อยให้ “บาดแผลที่ราชประสงค์” ครั้งนี้ลุกลาม “เรื้อรัง” ไว้ทำลาย “อภิสิทธิ์”
ดังนั้นเบื้องต้น รัฐบาลต้องเร่งฉีดยากันบาดทะยัก!