EIC ปรับลดคาดการณ์ GDP โลกลงมาเหลือเติบโต 1.8% จากเดิมคาดการณ์เติบโต 3.0% ขณะที่ GDP ไทยปี 2563 ปรับลดลงเป็นการหดตัวที่ -0.3% จากเดิมคาดขยายตัว 1.8% เนื่องจากผลกระทบของ COVID-19 ที่รุนแรงกว่าคาด ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มเข้าสู่ภาวะถดถอยในช่วงครึ่งแรกของปี
จากสถานการณ์การระบาดของไวรัส COVID-19 กระทบต่อเศรษฐกิจโลกมากกว่าที่คาด ประกอบกับราคาน้ำมันที่ปรับลดลงอย่างมากจะกระทบกับเศรษฐกิจประเทศที่พึ่งพารายได้จากการส่งออกน้ำมัน ทำให้ EIC คาดว่าเศรษฐกิจโลกจะขยายตัวชะลอลงเหลือ 1.8% ในปี 2563 (จากเดิมคาดการณ์ไว้ที่ 3%) รวมทั้งจะมีหลายประเทศที่มีโอกาสสูงที่จะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในช่วงครึ่งแรกของปี เช่น ญี่ปุ่น อิตาลี เยอรมนี สหราชอาณาจักร ฮ่องกง เป็นต้น
นอกจากนี้ EIC ประเมินว่าธนาคารกลางส่วนใหญ่จะดำเนินนโยบายผ่อนคลายทางการเงิน ไม่ว่าจะเป็น Fed ที่น่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 75-100 bps มาอยู่ที่กรอบ 0-0.25% ในปีนี้ ECB ที่น่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย deposit facility rate ลงอีก 10 bps มาอยู่ที่ -0.6% และ BOJ ที่อาจเพิ่มการเข้าซื้อสินทรัพย์ ETF และปรับให้มีความยืดหยุ่นในการเข้าซื้อมากขึ้น รวมถึง กนง. อาจลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 1 ครั้ง (25 bps) ในการประชุมวันที่ 25 มีนาคม 2563 นี้
สำหรับเศรษฐกิจไทย COVID-19 จะกระทบผ่าน 3 ช่องทางหลัก ได้แก่ การท่องเที่ยว การส่งออก และการใช้จ่ายในประเทศ
EIC ประเมินสถานการณ์การระบาด COVID-19 ในกรณีฐาน (Base case scenario) โดยมีสมมติฐานว่า สำหรับการระบาดในจีน การเพิ่มขึ้นของผู้ติดเชื้อมีจุดสูงสุดในเดือนกุมภาพันธ์ และจะถูกควบคุมได้ในเดือนพฤษภาคม ขณะที่สถานการณ์การระบาดนอกประเทศจีน (รวมถึงไทย) จะมีความรุนแรงมากสุดในช่วงต้นไตรมาส 2 และจะถูกควบคุมได้ในช่วงต้นไตรมาส 3 ของปีนี้ โดยที่ในกรณีของไทย มีข้อสมมติฐานเพิ่มเติมว่า ไม่มีการ lockdown ในวงกว้าง ภายใต้กรณีฐานดังกล่าว EIC ประเมินผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย ดังนี้
การท่องเที่ยวหดตัว – EIC คาดนักท่องเที่ยวทั้งปี 2563 จะเหลือเพียง 27.7 ล้านคน (-30.5%YOY) โดยจะมีการหดตัวมากสุดประมาณ -75%YOY ในช่วงเดือนเมษายน และจะปรับดีขึ้นอย่างช้า ๆ หลังจากนั้นจนกลับสู่ระดับเทียบเท่าปี 2562 (0%YOY) ในเดือนตุลาคม นอกจากนี้ ยังคาดว่ารายจ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยวก็จะปรับลดลงจากปีก่อนหน้าด้วย ตามราคาสินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มลดลงตามสถานการณ์ท่องเที่ยวที่ซบเซา
การส่งออกหดตัว – มูลค่าการส่งออกมีแนวโน้มปรับลดลง 5.8% จากปีก่อนหน้า จากผลกระทบของ COVID-19 ผ่านช่องทางรายได้ของลูกค้าที่ลดลงตามเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวเพิ่มขึ้น ราคาน้ำมันที่ลดลงมากซึ่งทำให้ราคาสินค้าส่งออกในหมวดน้ำมันและปิโตรเคมีลดลงตาม และปัญหาการหยุดชะงักของการผลิตสินค้าในประเทศที่อยู่ในห่วงโซ่การผลิต มีผลต่อการส่งออกวัตถุดิบขั้นกลางของไทย เช่น ไม้ เหล็ก สินค้าเกษตร และสินค้าส่งออกของไทยที่ขาดแคลนวัตถุดิบขั้นกลางมาใช้ผลิต เช่น รถยนต์ เครื่องจักร อิเล็กทรอนิกส์
การใช้จ่ายในประเทศลดลง – นอกเหนือจากรายได้ของภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจที่โน้มลดลงจากผลของ COVID-19 การใช้จ่ายในประเทศจะได้รับผลกระทบเพิ่มเติมจากความกังวลและตื่นกลัวกับสถานการณ์แพร่ระบาด นำไปสู่การลดการเดินทางท่องเที่ยว และการจับจ่ายใช้สอยตามห้างสรรพสินค้าหรือแหล่งชุมชน รวมถึงมีการลดหรือเลื่อนกิจกรรมงานสังสรรค์และงานนิทรรศการต่างๆ แม้ตัวเลขการใช้จ่ายผ่านช่องทาง online จะโน้มสูงขึ้น แต่ไม่สามารถชดเชยการใช้จ่ายที่ลดลงได้ทั้งหมด
ปัจจัยการหดตัวของนักท่องเที่ยวและภาคส่งออก รวมถึงปัจจัยลบเดิมคือภัยแล้งที่รุนแรงกว่าปกติ การอนุมัติงบประมาณภาครัฐล่าช้า ทำให้โดยรวม EIC ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 2563 เป็นหดตัวที่ -0.3% ในกรณีฐาน (จากประมาณการเดิมที่ 1.8%) และมีความเป็นไปได้สูงที่เศรษฐกิจไทยจะเกิด technical recession ในช่วงครึ่งแรกของปี
อย่างไรก็ตาม คาดว่าตั้งแต่ไตรมาส 2 เป็นต้นไป การเบิกจ่ายของภาครัฐจะเริ่มเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจ บวกกับปลายไตรมาส 3 หากการระบาดดีขึ้นตามสมมติฐานน่าจะทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติทยอยกลับเข้าประเทศ ทำให้มองว่าช่วงไตรมาส 4 ปีนี้เศรษฐกิจจะกลับมาเติบโต
ทั้งนี้แนวโน้มเศรษฐกิจโลกและไทยยังมีความไม่แน่นอนสูง ขึ้นอยู่กับความสามารถของประเทศต่าง ๆ ในการควบคุมการระบาดของ COVID-19 การประคับประคองเศรษฐกิจระยะสั้น และการวางรากฐานสำหรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า หากการแพร่ระบาดทั้งในไทยและต่างประเทศถูกควบคุมได้ภายในไตรมาสที่ 2 ซึ่งเร็วกว่ากรณีฐาน ก็จะทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวและมูลค่าการส่งออกของไทยปรับดีขึ้นมากกว่ากรณีฐานได้เช่นกัน
— ผู้นำเสนอบทวิเคราะห์ : ดร. ยรรยง ไทยเจริญ รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด Economic Intelligence Center (EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด มหาชน