หน้ากากอนามัยกับเจลล้างมือดูเป็นสินค้าที่สมเหตุสมผลหากจะเกิดการแห่ซื้อมากักตุน แต่ “ทิชชู” เป็นสินค้าที่ดูไม่มีเหตุผลเอาเสียเลยว่าทำไมคนอเมริกัน แคนาดา หรือออสเตรเลีย ต้องแห่ซื้อกันมากมายด้วย เพราะไม่ใช่อุปกรณ์ที่ช่วยป้องกันเชื้อไวรัสแต่อย่างใด
ในเมืองไทยเริ่มเห็นภาพการแห่ซื้อเสบียงไว้ใช้ยามจำเป็นกันบ้างแล้ว หลังจากประเทศแถบตะวันตกเริ่มตื่นตระหนกไปก่อนหน้านี้ โดยสินค้าหนึ่งที่คนตะวันตกนิยมซื้อกันจนเกลี้ยงชั้นวางคือ “ทิชชู” โดยมีเหตุผลอย่างเป็นรูปธรรมว่าทำไมทิชชูถึงขายดี (กว่าบ้านเรา) คือ บ้านคนตะวันตกมักจะไม่มีที่ฉีดน้ำในห้องสุขา ทำให้ทิชชูคือสิ่งจำเป็นสำหรับเช็ดทำความสะอาด
ความต้องการทิชชูจำนวนมากทำให้ซูเปอร์มาร์เก็ตหลายแห่งในสหรัฐฯ และแคนาดามีนโยบายจำกัดจำนวนซื้อต่อคนต่อครั้ง เสมือนเป็นสินค้าจำเป็นแบบเดียวกับหน้ากากอนามัย ในออสเตรเลียมีบางห้างฯ ที่จัด รปภ.เดินเวรตรวจเช็กตามชั้นวางสินค้าด้วย
แต่ถึงจะจำเป็นต้องใช้ทำความสะอาดร่างกาย การซื้อทิชชูคนละมากๆ ระดับที่เก็บไว้ใช้ได้เป็นปีก็ดูไม่สมเหตุสมผล ทิชชูไม่ใช่สิ่งที่ป้องกันไวรัสได้และไม่ได้จำเป็นต่อการดำรงชีพเท่ากับอาหาร แต่ทิชชูกลับเป็นสิ่งแรกที่เกลี้ยงเชลฟ์ (ถ้าไม่นับหน้ากากอนามัยกับเจลล้างมือ)
เพราะอะไรคนถึงแห่กันไปซื้อเสบียง โดยเฉพาะทิชชู เราไปฟังบทวิเคราะห์จากผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยากัน
เหตุผลข้อ 1 – คนมีแนวโน้มจะแห่ซื้อแบบสุดโต่ง เมื่อรับข้อมูลที่ขัดแย้งกัน
สตีเว่น เทย์เลอร์ นักจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยบริติชโคลัมเบีย ผู้เขียนหนังสือเรื่อง “จิตวิทยาการระบาด” หนังสือที่พาย้อนกลับไปศึกษาพฤติกรรมของมนุษย์ในการตอบสนองการระบาดของโรค เทย์เลอร์มองว่า เมื่อเปรียบเทียบกับการระบาดในอดีต การตอบสนองระดับโลกในกรณีไวรัส COVID-19 นับเป็นความตื่นตระหนกที่แพร่กระจายไปไกลมากกว่า
“ในแง่หนึ่ง การตอบสนองเหล่านี้ก็เข้าใจได้ แต่ในอีกแง่หนึ่งก็มากผิดปกติ” เทย์เลอร์กล่าว “เราเตรียมตัวได้โดยไม่ต้องตื่นตระหนก”
ไวรัส COVID-19 ทำให้ผู้คนตื่นตระหนกได้มากกว่าเพราะเป็นโรคใหม่ที่ไม่มีใครเคยรู้จัก เมื่อประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารที่ขัดแย้งกัน เกี่ยวกับระดับความเสี่ยงของโรคและระดับการเตรียมพร้อมรับมือที่ควรจะทำ เมื่อไม่รู้จะเชื่อข้อมูลไหน พวกเขาจึงมีแนวโน้มซื้อเสบียงตุนไว้ก่อนแบบสุดโต่ง
“เมื่อประชาชนได้รับข่าวว่าโรคอันตรายกำลังมาเยือน แต่สิ่งเดียวที่ต้องทำคือการล้างมือ วิธีปฏิบัติที่ดูง่ายจนไม่น่าจะสมเหตุสมผลกับความอันตรายของโรค พวกเขาคิดว่าความอันตรายระดับพิเศษจำเป็นต้องมีแนวทางรับมือแบบพิเศษด้วย” เทย์เลอร์กล่าว
เหตุผลข้อ 2 – เป็นการตอบสนองเมื่อภาครัฐไม่ให้ทิศทางที่ชัดเจนในการรับมือ
บารุค ฟิชฮอฟฟ์ นักจิตวิทยาและศาสตราจารย์จากสถาบันการเมืองและกลยุทธ์ มหาวิทยาลัยคาร์เนกี้เมลล่อน กล่าวว่า เนื่องจากหลายๆ ประเทศมีการล็อกดาวน์ กักกันประชาชนทั้งเมืองให้อยู่แต่ในบ้านแล้ว ทำให้คนในเมืองที่ยังไม่มีนโยบายนี้รู้สึกว่าต้องเตรียมตัวซื้อสินค้ากักตุนไว้เผื่อจะเกิดขึ้นในเมืองตัวเองบ้าง
“หากประชาชนไม่รู้สึกถึงคำมั่นสัญญาจากภาครัฐว่าทุกคนจะได้รับการดูแล พวกเขาจะถูกทิ้งให้คาดเดาเอาเองถึงความเป็นไปได้ว่าตนจะต้องการทิชชูเมื่อไหร่ และมักจะรู้สึกว่ามันจะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้ มากกว่ารู้สึกว่าจะยังไม่เกิดขึ้น” ฟิชฮอฟฟ์กล่าว “ถ้าไม่มีคำมั่นสัญญาจากภาครัฐก็จะยิ่งเพิ่มความเป็นไปได้พวกนั้นมากขึ้น”
เหตุผลข้อ 3 – การแห่ซื้อยิ่งทำให้เกิดการแห่ซื้อ
ภาพชั้นวางสินค้าที่ว่างเปล่ากับรถเข็นซูเปอร์มาร์เก็ตที่มีสินค้าอยู่เต็ม ไหลท่วมในโซเชียลมีเดียและการรายงานข่าว เมื่อประชาชนเห็นภาพผู้ซื้อที่ตื่นตระหนก พวกเขาจะทึกทักเองว่าควรตื่นตระหนกและไปซื้อสินค้าบ้าง
“มนุษย์เป็นสัตว์สังคม เรามองมนุษย์คนอื่นเพื่อหานัยว่าอะไรคือสิ่งที่ปลอดภัยและอะไรอันตราย” เทย์เลอร์กล่าว “และเมื่อคุณเห็นคนบางส่วนแห่ซื้อสินค้า นั่นอาจทำให้เกิดการระบาดของความกลัวขึ้น”
ภาพชั้นวางสินค้าว่างเปล่าอาจทำให้คนเชื่อว่า พวกเขาต้องรีบออกไปซื้อทิชชูในขณะที่ยังมีให้ซื้ออยู่ และเป็นจุดเริ่มต้นทำให้เกิดการขาดแคลนขึ้นมาจริงๆ
เทย์เลอร์กล่าวว่า โซเชียลมีเดียเป็นผู้เล่นรายสำคัญในการแพร่ขยายความกลัวไวรัส COVID-19 ออกไป ข้อมูลผิดๆ ขยายวงกว้างได้ง่ายในแพลตฟอร์มที่เปิดกว้างและใช้งานง่าย ช่วยทำให้เสียงแห่งความตื่นตระหนกยิ่งกึกก้อง
เหตุผลข้อ 4 – เป็นเรื่องธรรมชาติที่คนจะ “กันไว้ดีกว่าแก้”
ขณะที่ แฟรงก์ ฟาร์ลี่ย์ ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยเทมเปิลและอดีตประธานสมาคมจิตวิทยาอเมริกัน มองว่า การแห่ซื้อสินค้าเป็นพฤติกรรมปกติ เพราะขณะนี้หลายองค์กรด้านสาธารณสุขระดับโลกให้คำแนะนำแล้วว่าประชาชนกลุ่มเสี่ยงควรจะกักตัวอยู่ในบ้าน และหลีกเลี่ยงการติดต่อกับผู้อื่นหรือคนหมู่มาก ดังนั้นเป็นเรื่องธรรมชาติที่คนจะเตรียมตัวป้องกันไว้ก่อน
“ไวรัส COVID-19 ทำให้เกิดภาวะทางจิตของ ‘ผู้เอาชีวิตรอด’ คนที่จะรอดคือต้องอยู่บ้านให้มากที่สุด ดังนั้นจะต้องเตรียมเสบียงของจำเป็น ซึ่งรวมถึงทิชชูด้วย เพราะถ้าไม่มีทิชชูจะใช้อะไรทดแทนได้ล่ะ?” ฟาร์ลี่ย์กล่าว
ฟิชฮอฟฟ์เสริมว่า อย่างไรคุณก็ต้องซื้อทิชชู ดังนั้นจะซื้อตอนนี้หรือซื้อทีหลัง ถ้าซื้อทีหลังอาจจะพบปัญหาคิวจ่ายเงินที่ยาวยิ่งกว่าและหาสินค้าได้ยากด้วย
ส่วนที่เป็นการซื้อ “ทิชชู” มากกว่าอาหารซึ่งจำเป็นกว่า ก็เพราะว่าเป็นสิ่งที่วันหนึ่งต้องใช้งานเหมือนกัน แต่อาหารนั้นเน่าเสีย ส่วนทิชชูจะเก็บไว้ก่อนก็ได้ ตุนไว้ไม่เสียหาย
เหตุผลข้อ 5 – ซื้อเพื่อให้รู้สึกว่ายัง “ควบคุม” ชีวิตได้
ฟิชฮอฟฟ์กล่าวว่า ผู้คนแห่ซื้อสินค้าเพราะความกลัว การเตรียมตัวแม้จะแค่ไปซื้อทิชชูมาเก็บไว้ก็ยังทำให้คนรู้สึกว่าได้ควบคุมอะไรบางอย่างในชีวิตแล้ว ท่ามกลางสถานการณ์ที่ดูสิ้นหวัง
“ถ้าการทำเช่นนี้ทำให้คนรู้สึกว่าพวกเขาได้ทำทุกอย่างที่ทำได้แล้ว อาจจะทำให้คนสบายใจมากขึ้นพอที่จะไปคิดเกี่ยวกับเรื่องอื่นนอกจากไวรัสได้บ้าง”