อุตสาหกรรมค้าปลีกทั่วโลกได้รับผลอย่างหนักจากมาตรการ ‘ล็อกดาวน์’ ที่ออกมาเพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 อย่างไรก็ตาม ประเทศจีน ได้ทยอยปลดมาตรการล็อกดาวน์ ส่งผลให้ค้าปลีกเริ่มฟื้นตัว โดยหลายประเทศรวมถึง ‘อเมริกา’ เริ่มสนใจถึงแนวทางจากจีน เพื่อที่จะได้ ‘ฟื้นตัว’ เช่นเดียวกับประเทศจีน แต่นักวิเคราะห์กลับมองว่ามี 4 ปัจจัย ที่จะส่งผลให้ค้าปลีกในอเมริกาไม่มีทางฟื้นตัวได้เหมือนจีน
ความต้องการตกค้างจาก ‘ตรุษจีน’
ตอนนี้ที่ประเทศจีนเริ่มมีผู้บริโภคสวมหน้ากากเข้าแถวเพื่อเข้าร้านค้า ทั้งเครื่องสำอางและเสื้อผ้าแฟชั่น เสมือนเป็นความหวังว่าจะเกิดขึ้นรูปแบบเดียวกันในอเมริกา แต่…กิจกรรมการใช้จ่ายหลังการระบาดในจีนมีสาเหตุหลักมาจากความจริงที่ว่า ผู้บริโภคจำนวนมากได้รับผลประโยชน์จาก ‘อั่งเปา’ ที่เป็นขวัญในช่วงเทศกาลตรุษจีน แต่เพราะการระบาดใหญ่ของ COVID-19 ทำให้การปิดตัวของหลาย ๆ เมืองทั่วประเทศจีน ส่งผลใหเผู้บริโภคชาวจีนจำนวนมากต้องใช้เวลาอยู่ที่บ้านพร้อมเงิน ซึ่งไม่ใช่อเมริกา เพราะคนในประเทศเผชิญกับปัญหาการว่างงาน
“ประเทศจีนตระหนักดีว่ามีความต้องการตกค้าง เพราะหลายคนไม่เคยสัมผัสกับวันตรุษจีน และนั่นเป็นหนึ่งในช่วงที่ใช้จ่ายครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับจีน” สตีฟ บาร์รอง หัวหน้าฝ่ายค้าปลีกและผู้บริโภคของ PwC กล่าว
นักท่องเที่ยวที่หายไป
ที่ประเทศจีน เครือ LVMH เจ้าของ Louis Vuitton ได้กล่าวว่า ผู้ซื้อแห่กันไปที่ร้านค้าในประเทศจีนแผ่นดินใหญ่เมื่อมีการเปิดสาขา โดยยอดขายในประเทศจีนสำหรับแบรนด์อย่าง เช่น Dior และ Fendi กลับมาเป็นบวกกว่า 50% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา
แต่ที่อเมริกา ร้านแบรนด์เนมส่วนใหญ่ถูกช้อปโดยนักท่องเที่ยว ขณะที่กลุ่มหลักก็คือ ‘ชาวจีน’ อย่างในภาวะเศรษฐกิจปกติ นักท่องเที่ยวชาวจีนมักจะมีปริมาณการใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยวและการใช้จ่ายสูงสุด ตั้งแต่ห้างสรรพสินค้าจนถึงร้านอัญมณีระดับสูง Tiffany & Co. ที่มีสัดส่วนยอดขายจากชาวต่างชาติเป็นเปอร์เซ็นสองหลัก โดยเฉพาะที่เมืองสำคัญๆ แต่เมื่อมีการหยุดเดินทางระหว่างประเทศ ร้านเหล่านี้จะยิ่งได้รับผลกระทบ ดังนั้นการฟื้นตัวของอเมริกาอาจใช้เวลานานกว่าจีน เพราะตอนนี้นักท่องเที่ยวชาวจีน ‘ไม่ไปไหนเลย’
การปิดที่ลากยาวอาจทำให้ชินกับออนไลน์
การค้าปลีกในสหรัฐอเมริกาได้ถูกปิดนานกว่าประเทศจีน รวมถึงการปิดถาวรมากขึ้น และนั่นอาจมีผลกระทบยาวนาน และผู้บริโภคเริ่มปรับเปลี่ยนพฤติกรรมมาซื้อของออนไลน์มากขึ้น เพราะอย่างจีนการปิดร้านค้าใช้เวลาเพียง 4 สัปดาห์ในบางพื้นที่ของประเทศจีน ขณะที่อเมริกาเข้าสู่สัปดาห์ที่ 6 เข้าไปแล้ว และเมื่อเปิดได้อาจจะมีคำถามที่ว่า “เร็วเกินไปที่ห้างจะเปิดใหม่หรือไม่” “ผู้คนสามารถกลับไปที่ร้านกาแฟได้อย่างปลอดภัยหรือยัง?” ขณะที่บางคนคิดว่ามันเร็วเกินไปโดยไม่มีการทดสอบที่เพียงพอ
Coresight ประเมินว่า ร้านค้าจำนวนมากจะยังคงปิดในสหรัฐอเมริกาจนถึงวันที่ 10 พฤษภาคมเป็นอย่างน้อย ดังนั้นมีความเป็นไปได้ว่าอุตสาหกรรมค้าปลีกส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในช่วงมืดมนจนถึงเดือนมิถุนายน
การว่างงานที่เพิ่มขึ้น
ยอดค้าปลีกในเดือนมีนาคมของอเมริกาลดลง 8.7% ซึ่งเป็นการลดลงมากที่สุดนับตั้งแต่รัฐบาลเริ่มติดตามผลในปี 1992 และคาดว่าเดือนเมษายนอาจแย่ลงกว่านี้ ขณะที่ช่วง 5 สัปดาห์ที่ผ่านมามีชาวอเมริกัน 26.45 ล้านคนยื่นเรื่องว่างงาน ดังนั้นผู้บริโภคจำนวนมากจะลังเลที่จะไปยังห้างสรรพสินค้ามากขึ้น ตัดภาพมาที่ประเทศจีน ในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2020 มีคนประมาณ 5 ล้านคนที่ตกงานเท่านั้น
หากดูจากบทวิเคราะห์ดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นอัตราการว่างงานที่อาจส่งผลต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค, ร้านแบรนด์เนมที่ต้องพึ่งพานักท่องเที่ยว ดังนั้นอาจเป็นไปได้ว่า ‘ประเทศไทย’ มีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวได้ไม่เร็วเท่าจีนนัก แต่หากดูจากสถานการณ์ที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ อาจมีแนวโน้มที่จะมีการปลดล็อกมาตรการล็อกดาวน์ในเร็ววันนี้ ซึ่งอาจทำให้เศรษฐกิจไทยดีขึ้นกว่าเดิมก็เป็นได้