ความสำเร็จของ “อวาตาร์” ในแบบฉบับ 3 มิติ ทำรายได้ถล่มทลายไปทั่วโลก ส่งผลให้ค่ายเมเจอร์ตัดสินใจลงทุนครั้งใหญ่ เพื่อก้าวสู่ยุค 3 มิติ
วิชา พูลวรลักษณ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้ประกอบการธุรกิจโรงภาพยนตร์รายใหญ่ที่สุดของเมืองไทย จากมูลค่าตลาด 4,000 ล้านบาท (ตัวเลขเฉพาะกรุงเทพฯ และปริมณฑล) และจำนวนตั๋ว 30 ล้านใบต่อปี ให้สัมภาษณ์พิเศษกับ POSITIONING ถึงประเด็นร้อนที่ส่งผลบวกต่ออุตสาหกรรมภาพยนตร์โลกและไทยในขณะนี้
วิชาเชื่อมั่นว่า เวลานี้ถึงจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ของโรงภาพยนตร์ในเมืองไทยด้วยหนัง 3D เช่นเดียวกับเมื่อ 10 ปี ก่อนหน้า ที่เคยลงทุนกับระบบเสียงดิจิตอล จนทำให้อุตสาหกรรมบูมขึ้นมาได้จนถึงทุกวันนี้
ค่ายเมเจอร์นั้นลงทุนกับโรงหนัง IMAX มานานมากกว่า 13 ปีแล้ว ในลักษณะของ Exclusive Partner แต่ที่ผ่านมา IMAX เผชิญปัญหาเรื่องของฟอร์มหนัง ที่ผลิตเพื่อฉายใน IMAX เท่านั้น ไม่ใช่หนังฟอร์มใหญ่จากฮอลลีวู้ดที่มีแรงโปรโมทหนักและมีกระแสจากทั่วโลก ทำให้ IMAX ไม่ได้รับความนิยมจากตลาดคนดูเท่าที่ควร
แต่ผลสำเร็จของหนัง AVATAR ในระบบ 3มิติ ทำให้ IMAX ทำรายได้ 220 ล้านเหรียญสหรัฐ ขึ้นแท่นเป็นหนังที่ทำกำไรสูงสุดให้กับ IMAX เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขณะที่ในเมืองไทย AVATAR กวาดรายได้ไปกว่า 300 ล้านบาท
แรงตอบรับจากคนดู ทำให้วิชาตัดสินใจลงทุนสร้างโรงหนังระบบ IMAX โดยเป็นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด ที่เขาได้ต้นแบบมาจากโรงหนัง IMAX ในฮ่องกง ซึ่งใช้เครื่องฉายรุ่นใหม่เพียงโรงเดียว กวาดรายได้ไปกว่า 3.8 ล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้วิชามั่นใจว่าเทรนด์หนัง 3D จุดติดแน่นอน โดยเฉพาะประสิทธิภาพของเครื่องฉายรุ่นใหม่ของ IMAX ที่คมชัดและแสดงภาพ 3D ได้สมบูรณ์ขึ้น
“ระบบเสียงจะดีกว่าโรงหนังดิจิตอลทั่วไป 6 เท่า ขณะที่ราคาก็สูงประมาณ 1.1 ล้านเหรียญสหรัฐต่อเครื่อง ญี่ปุ่นก็สั่งไป 50 เครื่อง จนตอนนี้ IMAX รับออเดอร์ไม่ทัน” วิชาบอกด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
โรงหนัง IMAX แห่งใหม่ กระจายไปยังทำเลสำคัญๆ พร้อมกับเครื่องฉายใหม่ที่ซื้อมา 1 เครื่องจะติดตั้งแทนของเดิมที่ KRUNGSRI IMAX สยามพารากอน งานนี้ Don Savant รองประธานกรรมการอาวุโสและกรรมการผู้จัดการ IMAX เอเชีย-แปซิฟิก บินมาเซ็นสัญญาในไทย บอกว่า IMAX เพิ่งเซ็นสัญญาเปิดโรงใหม่ใน 70 แห่งทั่วเอเชีย จากปัจจุบันมี 68 แห่ง และ 430 แห่งทั่วโลก ซึ่งถือเป็นตลาดที่เติบโตดีมากของ IMAX และมีอีก 70 แห่งที่จะเปิดเพิ่มในยุโรป
ถึงแม้จะใช้เงินลงทุนที่สูง 60-70 ล้านบาทต่อโรง (รวมค่าเครื่องแล้ว) สูงกว่าโรงหนังปกติ 5-6 เท่าเนื่องจากมีรูปแบบโรงที่เน้นเพดานสูง ในขนาด 350 ที่นั่ง (KRUNGSRI IMAX 491 ที่นั่ง) และเก็บค่าตั๋วถูกลงจาก KRUNGSIR IMAX 100 บาท
แต่ในระยะยาวแล้วถือว่าคุ้มค่ากว่าระบบ IMAX เดิม ที่ใช้ฟิล์ม70 มม. ซึ่งเป็นPrint Format ต้องเสียค่าคอนเวิร์ทเป็น Digital Format สูงมากราว 12 ล้านบาท จึงเป็นเหตุผลให้ที่ผ่านมา Hollywood Content ลงจอ IMAX น้อย
นอกจากนี้ การใช้กลยุทธ์ Naming Sponsor เช่นเดียวกับธนาคารกรุงศรีอยุธยา และใช้ชื่อว่า KRUNGSRI IMAX ซึ่งปักหลักที่สยามพารากอนมานานราว 4 ปีแล้ว ก็จะช่วยให้การคืนทุนเร็วขึ้นภายใน 3-4 ปี ที่ผ่านมา อุปสรรคของ IMAX คือดูหนัง 3D แล้วปวดตา แว่นตาใหญ่เทอะทะเกินไป อีกทั้งราคาที่สูงกว่าโรงภาพยนตร์ทั่วไปเกือบเท่าตัว ราคาตั๋วในการชมหนัง IMAX 3D ทั่วไปนั้นอยู่ที่ 200-400 บาทขึ้นอยู่กับที่นั่ง ถ้าเป็นหนังฮอลลีวู้ดราคา 250-500 บาท และหนังฮอลลีวู้ดฟอร์มยักษ์ เช่น AVATAR ราคา 300-500 บาท ส่วนโรงหนังดิจิตอล 3D ทั่วไปราคา 240 บาท วิชาเชื่อว่า ด้วยเทคโนโลยีปัจจัยพื้นฐานที่สมบูรณ์ขึ้น ทำให้ปัญหาเหล่านี้หมดไป
ด้วยต้นทุนที่ถูกลง จากการเปลี่ยนจากการใช้ฟิล์มมาเป็นดิจิตอล ทำให้ IMAX ได้รับการตอบรับจากค่ายหนังจากฮอลลีวู้ด ที่เตรียมผลิตหนังฟอร์มยักษ์ในเวอร์ชั่น IMAX 3D มากขึ้น เช่น เมื่อเมษายน 2553 เซ็นสัญญากับวอร์เนอร์ บราเธอร์ส ด้วยการผลิตหนังในเวอร์ชั่นของ IMAX จำนวน 20 เรื่อง ในอีก 2 ปีข้างหน้า จะส่งผลต่อรอบฉายของ IMAX มีความถี่มากขึ้น ทำให้การตอบรับของคนดูจะตามมา
“IMAX จะเป็นเหมือนโรงหนังทั่วไปมากขึ้น จากปกติฉายหนังเรื่องหนึ่งต้องอยู่ยาว 1 เดือน จากนี้จะมีความถี่มากขึ้นอาจจะเป็นเรื่องละสัปดาห์ เพราะหนังมีจำนวนมากขึ้น ปกติ 10-12 เรื่องต่อปี เป็น 18-20 เรื่องต่อปี และคาดว่าจะโตกว่าเดิมเกือบเท่าตัว”
ปัจจุบันรายได้ของ IMAX คิดเป็น 15% ของรายได้จากพารากอน ซีนีเพล็กซ์ มีรายได้เฉลี่ยของหนังที่เข้าฉายราว 5 ล้านบาทต่อเรื่อง
ยกเครื่องโรงหนังสู่ยุค 3 D
ใช่แค่โรงหนัง IMAX เท่านั้น แต่อุตสาหกรรมหนังกำลังมุ่งเข้าสู่ระบบ 3D นับตั้งแต่ปี 2553-2555 มีหนัง 3D มีคิวฉายแล้วไม่ต่ำกว่า 80 เรื่อง
การยกเครื่องโรงหนังดิจิตอล 3D จึงเป็นสิ่งเครือเมเจอร์ฯ ต้องการลงทุนอย่างจริงจังด้วย ตามแผนงาน จะมีการลงทุนเพิ่มอีกเครื่องฉายหนังเพิ่มอีก 25 เครื่อง จะทำให้เครือเมเจอร์ฯ มีโรงหนังที่สามารถฉายหนัง 3D ได้ 60 กว่าโรงภายในปีนี้ จากทั้งหมด 350 โรง
วิชายังคาดการณ์ว่าภายใน 3 ปี ฟิล์มจะสูญพันธุ์ และโรงหนัง 30,000 กว่าโรงในสหรัฐอเมริกาจะถูกเปลี่ยนเป็นโรงหนังดิจิตอลเพื่อรองรับหนัง 3D ทั้งหมด
ขณะที่วิชาเองก็มีแผนที่จะนำ IMAX เข้าไปเปิดในอินเดียที่กรุงนิวเดลี ซึ่งเขามีพันธมิตรที่ร่วมธุรกิจโบว์ลิ่งอยู่แล้วด้วย
ปัจจุบันสัดส่วนรายได้ของหนังดิจิตอลธรรมดาและดิจิตอล 3D คิดเป็น 15% และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 30-40% ในต้นปี 2554 นี้
ที่สำคัญ โรงหนังจะสร้างประสบการณ์ที่แปลกใหม่ให้กับคนดู แตกต่างไปจากการรับชมในรูปแบบปกติที่จะหาได้จากความบันเทิงภายในบ้าน
เรื่องของหนัง 3 มิติ
การแสดงภาพสองภาพควบคู่กันไป และจะถูกส่องผ่านฟิลเตอร์ โดยจะแบ่งภาพให้แยกไปในทิศทางของแต่ละอัน และการที่เราจะเข้าไปดูหนัง 3 มิติ เราก็ต้องมีอุปกรณ์พิเศษนั้นก็คือ “แว่นตา 3 มิติ” ที่จะช่วยแยกภาพสองภาพ โดยภาพที่เห็นจากตาซ้ายก็จะฉายใน “ด้าน ซ้าย” และตาขวาก็จะเห็นเฉพาะภาพที่ฉายทาง “ด้านขวา” ทำให้สมองใช้ภาพสองภาพสร้างเป็น “ภาพ 3 มิติ” ที่ดูเหมือนว่าตัวละครในหนังและสรรพสิ่งทั้งหลายกระโดดออกมแสดงท่าทางต่างๆ นอกจอได้ จริงๆ
เทคโนโลยีของ IMAX
IMAX ย่อมาจากคำว่า IMAGE MAXIMUM เดิมทีนิยมใช้ฉายภาพยนตร์สารคดีเพื่อการศึกษา
โรง IMAX เป็นขนาด 70 มม. ขณะที่โรงทั่วไป 35 มม. และให้มิติความเป็นหนัง 3D ที่สมบูรณ์กว่าเนื่องจากใช้เทคโนโลยีที่สูงกว่า
* กล้องสามารถถ่ายทำได้ทั้งในอวกาศ ใต้ทะเลหรือบนยอดเขาสูง
*ใช้ฟิล์มขนาด 15/70 (ใช้ฟิล์มขนาด 70 มม. โดยในแต่ละเฟรมของภาพ จะมีรูหนามเตย จำนวน 15 รู) ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ให้ประสิทธิภาพในเรื่องความคมชัด
* ให้พลังเสียงดิจิตอล 12,000 วัตต์