แบรนด์ชุดกีฬา adidas ประกาศความร่วมมือกับผู้พัฒนารองเท้ารักษ์โลกดาวรุ่งอย่าง Allbirds รวมพลังกันสร้างสุดยอดรองเท้าผ้าใบรุ่นแรกของโลกที่มีรอยเท้าคาร์บอน หรือ carbon footprint ต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้ งานนี้ adidas ประกาศความร่วมมือนี้บน Twitter โดยโพสต์ตรงถึง @Allbirds เพื่อบอกโลกถึงโครงการรองเท้ารุ่นใหม่ที่ยังไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน
Hey @Allbirds, you up? ? We’ve been thinking… do you want to tackle climate change, together?
— adidas (at ?) (@adidas) May 28, 2020
ในโพสต์ถึง Allbirds เจ้าพ่อ adidas ทักทาย @Allbirds ด้วยคำว่า “เฮ้” ก่อนจะเผยความคิดว่า adidas อยากชวน Allbirds มารับมือกับปัญหาโลกร้อนด้วยกัน ทำให้ Allbirds ตอบกลับด้วยไอเดียสร้างรองเท้าที่ “ไม่มีรอยเท้าคาร์บอน” (doesn’t have a carbon footprint) ซึ่งยังไม่เคยมีใครทำสำเร็จ
ผลผลิตของความร่วมมือนี้ คือทั้ง 2 บริษัทจะพยายามผลิตรองเท้ายั่งยืนที่ไม่ทำร้ายโลก เพราะเป็นรองเท้าที่แทบไม่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนในกระบวนการผลิตตั้งแต่ต้นจนจบ ประเด็นนี้ เจมส์ คาร์เนส รองประธานฝ่ายกลยุทธ์แบรนด์ adidas กล่าวชัดว่าตั้งเป้าหมายลด carbon footprint เหลือศูนย์ แม้วันนี้วงการรองเท้าจะปล่อยคาร์บอนสูงมากก็ตาม
จับตา Allbirds
Allbirds นั้นเป็นที่รู้จักกันดีในวงการรองเท้ารักษ์โลก ผลงานที่ผ่านมาคือการสร้างรองเท้าที่เน้นความยั่งยืนด้วยการใช้วัสดุทดแทนจากธรรมชาติ เช่น ขนสัตว์ เส้นใยต้นยูคาลิปตัส และกากอ้อย ความร่วมมือครั้งนี้จะเป็นการบุกเบิกมาตรฐานอุตสาหกรรมใหม่สำหรับโลกปัจจุบัน หากทั้งคู่สามารถทำเป้าหมายในการผลิตรองเท้าไร้คาร์บอนได้สำเร็จ
ความน่าสนใจของความร่วมมือนี้คือ Allbirds ซึ่งเป็นผู้ผลิตรองเท้าจากซิลิกอนวัลเลย์ที่เน้นประเด็น sustainability หรือการพัฒนาอย่างยั่งยืนแบบไม่ทำร้ายโลกเป็นพิเศษ ที่ผ่านมา Allbirds ระดมทุนจนสามารถสร้างรองเท้าที่มีแต่คนชมว่านุ่ม เบา สบาย ระบายอากาศเยี่ยม แล้วทำตลาดจนมูลค่าแบรนด์ทะลุ 1.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 46,000 ล้านบาท) ในเวลาเพียง 3 ปี
ย้อนไปเมื่อเดือนพฤศจิกายน ผู้ร่วมก่อตั้ง Allbirds ชื่อโจอี้ ซวิลลิงเจอร์ ออกมาเรียกร้องให้บริษัทผู้ผลิตรองเท้าทั่วโลกเดินตามนโยบาย sustainability ของ Allbirds โดยจะเปิดกว้างสูตรเส้นใยธรรมชาติให้เป็น open-source ที่ใครก็สามารถหยิบไปพัฒนาได้ จุดประสงค์ของการเรียกร้องนี้พระเอกมาก นั่นคือ Allbirds ต้องการให้บริษัทสามารถเดินตามเพื่อให้โลกไม่ถูกทำลายไปมากกว่านี้ แม้ Allbirds จะเสี่ยงถูกคู่แข่งทางการค้าใช้เป็นอาวุธโจมตีธุรกิจก็ตาม
เวลานั้นผู้ก่อตั้ง Allbirds ย้ำว่าการที่หลายบริษัทให้ความสนใจเส้นใยธรรมชาติมากขึ้น จะมีผลช่วยให้เส้นใยยั่งยืนเหล่านี้ราคาถูกลง ซึ่งจะส่งผลให้ตลาดรองเท้ารักษ์โลกอยู่ในราคาที่จับต้องได้มากขึ้น ท้ายที่สุดก็จะเป็นผลดีต่อธุรกิจในภาพรวม
การเข้าถึงยักษ์ใหญ่ในวงการอย่าง adidas จึงเป็นอีกสเต็ปที่จะดึงให้ Allbirds เติบโต แถมยังสามารถรวมแบ็กกราวน์เรื่อง sustainability ของ Allbirds เข้ากับความชำนาญเรื่องการพัฒนา performance footwear ของ Adidas ได้แบบจับต้องได้ด้วย เป็นกลยุทธ์ที่ชนะกันทุกฝ่าย รวมถึงชาวโลกตาดำๆ ด้วย
งานนี้ไม่ง่าย
เจมส์ คาร์เนส ผู้บริหาร adidas บอกว่าความร่วมมือกับ Allbirds จะเป็นการยกระดับอุตสาหกรรมรองเท้าผ้าใบ แต่เพราะวันนี้กระบวนการสร้างผลิตภัณฑ์ที่ไร้คาร์บอนนั้นยังไม่มี ดังนั้นทั้ง 2 บริษัทจะมุ่งรวมนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ทั้งคู่มีอยู่แล้ว เพื่อหาวิธีสร้างรองเท้าที่มีคาร์บอนฟุตพรินต์ต่ำที่สุด และผลักดันขอบเขตของมาตรฐานอุตสาหกรรมรองเท้าและสินค้าด้านกีฬาอื่นๆ ด้วย
ฟังดูเหมือนง่าย แต่ชีวิตจริงนั้นท้าทายมากกว่า เพราะวันนี้กระบวนการสร้างรองเท้าผ้าใบมีค่ามาตรฐาน carbon footprint สูงถึง 12.5 กิโลกรัม แม้แต่สินค้าของ Allbirds เองก็มีคาร์บอนในกระบวนการผลิตราว 7.6 กิโลกรัม
การลดคาร์บอนให้เหลือศูนย์ไม่ใช่เรื่องง่าย ส่วนหนึ่งเพราะแหล่งผลิตที่อยู่ต่างสถานที่ ย่อมทำให้เกิดคาร์บอนจากการขนส่งอยู่แล้ว เว้นแต่การหันมาใช้รถไฟฟ้าในการขนส่ง ยังไม่นับการทำงานของเครื่องจักรหรือกระบวนการผลิตวัตถุดิบอื่น ที่ล้วนมีการปล่อยคาร์บอนสู่ชั้นบรรยากาศของโลกไม่มากก็น้อย
เบื้องต้น Allbirds และ adidas ตั้งเป้าลดคาร์บอนให้ได้ 2-3 กิโลกรัมก่อนในเฟสแรก แล้วจะขยายผลและรัดเข็มขัดคาร์บอนให้ได้มากขึ้นในเฟสถัดไป
ความร่วมมือนี้เกิดขึ้นในวันที่ประเด็น sustainability ถูกโฟกัสมากกว่าเดิมในโลกของสปอร์ตแวร์และวงการแฟชัน ปรากฏการณ์นี้กระตุ้นให้หลายแบรนด์หันมาแข่งขันกันโชว์จุดยืนเรื่องการรักษ์โลก ไม่เพียง adidas ที่เริ่มวางจำหน่ายรองเท้าที่ทำจากพลาสติกรีไซเคิลแล้ว ยังมี Nike ที่เปิดตัวรองเท้าจากวัสดุนำกลับมาใช้ซ้ำ รวมถึงอีกหลายแบรนด์ที่พยายามให้ความสำคัญกับภารกิจลดโลกร้อนในขณะนี้.