จากวิกฤติ COVID-19 ที่เกิดขึ้นไม่ได้ส่งผลกระทบแค่ภาคธุรกิจ แต่แรงงานก็ไม่สามารถทำงานได้เป็นปกติ ส่งผลให้ GDP ของประเทศไทยคาดว่าจะติดลบ -5% จากที่เคยประเมินว่าจะเติบโตได้ 2.3% แต่หลายคนคงคิดว่า ‘LINE’ ที่เป็น Tech Company ไม่ได้รับผลกระทบ เพราะไม่ใช่ธุรกิจท่องเที่ยวหรือร้านอาหารที่ต้องปิดตัวลง แต่ในความเป็นจริงแล้ว LINE มีรายได้จากโฆษณา ดังนั้นในช่วงวิกฤตินี้ หลายองค์กรชะลอการลงทุนในโฆษณา ซึ่งกระทบกับ LINE เต็ม ๆ
นรสิทธิ์ สิทธิเวชวิจิตร รองประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการพาณิชย์ LINE ประเทศไทย กล่าวว่า หลายคนมองว่าโฆษณาออนไลน์กระทบน้อย แต่ในความเป็นจริงคือ ทุกแบรนด์ชะลอการลงทุนกับโฆษณา เพราะทุกคนยังมีความกลัว ความไม่แน่ใจ อีกทั้งต้องรอดูพฤติกรรมผู้บริโภคที่กำลังว่าอะไรจะเป็น ‘New Normal’ ส่งผลให้องค์กรใหญ่ไม่กล้าลงทุน
แต่ทุกวิกฤติมีโอกาส แม้ภาพรวมเม็ดเงินจะลดลง แต่ LINE เห็นโอกาสจากบริษัทไทยโดยเฉพาะ SME ที่ปรับตัวเร็วเพื่อพยายามเอาตัวรอด ดังนั้น LINE จึงเปิดบริการใหม่ ๆ ขึ้นในช่วง COVID-19 เพื่อรองรับกับโอกาสในส่วนนี้ ไม่ว่าจะเป็น ฟีเจอร์ Watch Together สำหรับ LINE Group Call สามารถแชร์หน้าจอหรือดูวิดีโอพร้อมกันระหว่าง LINE Call การปรับปรุง LINE Desktop Version และ MyShop เครื่องมือช่วยส่งเสริมการขายบน LINE Official Account (Line OA)
อย่างไรก็ตาม ฟีเจอร์ต่าง ๆ จะเกิดไม่ได้หากไม่มี Growth Mindset ในการขับเคลื่อนองค์กรที่ประกอบด้วย 1.การตั้งเป้าหมายให้สูง (Leapfrog Goal Set) เพื่อเป็นแรงขับเคลื่อนให้พนักงาน “คิดใหม่ ทำใหม่” 2.สนับสนุนให้กำลังใจและมอบความเชื่อใจ (Empower & Trust) สร้างให้เกิดสมดุลในการทำงานและการใช้ชิวิต และสุดท้าย 3.สร้างความรู้สึกการเป็นเจ้าของร่วมกันอย่างแท้จริง (Extreme Ownership) อย่างมีหลายงานที่ไม่ชัดเจนในหน้าที่ แต่ทุกคนก็ช่วยกัน เพพื่อให้องค์กรเดินไปข้างหน้า
“Mindset นี้เรามีมาตั้งแต่แรก แต่เพราะ COVID-19 เลยทำให้มันเห็นผลอย่างชัดเจน อย่างเราเคยเจอลูกค้ารายใหญ่ แต่ไม่ขายของออนไลน์ ซึ่งสาเหตุมาจาก ไม่มีแผนกนี้ แต่พอเจอวิกฤติ กลับหันมาขายของออนไลน์ได้ ซึ่งมองว่าเพราะขาดเรื่อง Extreme Ownership ไม่เช่นนั้นอาจจะขายออนไลน์ได้นานแล้ว”
สำหรับฟีเจอร์ MyShop เครื่องมือช่วยส่งเสริมการขายบน LINE OA ได้รับการตอบรับดีมาก โดยปัจจุบัน LINE OA มีกว่า 4 ล้านแอคเคาท์ และมีการใช้งานฟีเจอร์ MyShop กว่าหมื่นราย โดยมีการเติบโตถึง 180% (ณ เดือน เม.ย. เติบโตจากต้นปีคือเดือน ม.ค. 2563) และอัตราการเติบโตของมูลค่าสินค้ารวม (GMV Growth Rate) ยังสูงถึง 250% (ณ เดือน เม.ย. เติบโตจากต้นปีคือเดือน ม.ค. 2563)
ปัจจุบัน รายได้ของไลน์หลักมาจาก 1.การขายโฆษณา 2.การขายสติกเกอร์และเพลงรอสาย 3.LINE MAN อย่างไรก็ตาม แม้ลูกค้าองค์กรใหญ่ที่ลงโฆษณาจะหายในช่วง COVID-19 แต่ SME กลับมีมากขึ้น ดังนั้น ผลประกอบการของไลน์ในช่วงไตรมาสที่ 1 และไตรมาส 2 ที่กำลังจะจบนี้ LINE ยังถือว่าทำได้ตามเป้า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ SME ที่มาพยุงรายได้ที่หายไปส่วนหนึ่ง ประกอบกับฟีเจอร์ใหม่ ๆ ที่ LINE ออกมา และสุดท้าย Growth Mindset ที่ตั้งไว้สูง
ซึ่งจากนี้ LINE มีแผนจะคลอดฟีเจอร์ใหม่ ๆ ออกมาภายในปีนี้ อาทิ ฟีเจอร์ Live Streaming ที่จะนำมาเสริม MyShop และฟีเจอร์อื่น ๆ ที่ทั้งทีมงานไทยและทีมต่างประเทศที่พัฒนา อย่างไรก็ตาม ฟีเจอร์ MyShop ยังไม่มีแผนจะเก็บค่าบริการ ยังให้ใช้ฟรี แต่ในอนาคตอาจจะต้องเสียเงินหากต้องการใช้ฟังก์ชันเพิ่มเติมที่ลึกขึ้น
“การนำเทคโนโลยีมาใช้กับธุรกิจเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ภาคธุรกิจต้องก้าวออกมาจากคอมฟอร์ทโซน เป็นภาคบังคับที่ต้องทำ ไม่งั้นจะไม่มีที่เหลือให้อยู่รอด และ Mindset ก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้องค์กรฝ่าวิกฤติไปได้”