Gucci ปรับขึ้นราคากระเป๋าหรูของแบรนด์ราว 5-9% เพื่อชดเชยรายได้ที่หายไปในช่วง COVID-19 ระบาด ขณะที่ Chanel ประเมินธุรกิจจะหดตัวไปอีกอย่างน้อย 18 เดือน แม้ว่ายอดขายในจีนจะกลับมาโตเกิน 100%
นักวิเคราะห์จากบริษัท Jefferies รายงานการปรับราคาของ Gucci ว่ามีการปรับราคากระเป๋าดัง 2 รุ่นคือ รุ่น Dionysus และ Zumi ขึ้นประมาณ 5-9% จากการสำรวจราคา 3 ประเทศ ได้แก่ จีน อิตาลี และอังกฤษ โดย Gucci เป็นแบรนด์กระเป๋าหรูรายที่สามแล้วที่ปรับราคาสินค้าขึ้นช่วง COVID-19 เริ่มคลี่คลาย ตามหลังแบรนด์ Louis Vuitton และ Chanel ที่ปรับไปแล้วก่อนหน้านี้
การปรับราคาขึ้นของ Gucci เป็นการเสี่ยงคาดการณ์พฤติกรรมลูกค้าเศรษฐีนักช้อปว่าจะกลับมาซื้ออีกครั้ง แม้ว่าราคาจะปรับขึ้นแล้วก็ตาม
“เราไม่แปลกใจเลยที่ Gucci แบรนด์ที่มีความแข็งแกร่ง จะเดินตามโอกาสการขึ้นราคาสินค้าเพื่อลดผลกระทบจากรายได้ที่หดตัวลง เหมือนกับแบรนด์อื่นๆ” Cereda บริษัทนักวิเคราะห์อีกรายหนึ่งกล่าว
ก่อนที่ Gucci จะปรับขึ้นราคาเพียงสองวัน Chanel แบรนด์หรูจากฝรั่งเศสเพิ่งประเมินว่าโรคระบาด COVID-19 จะส่งผลกระทบตลาดสินค้าลักชัวรีไปอีกอย่างน้อย 18 เดือนไปจนถึง 24 เดือน
“เรามองว่าสภาวะเศรษฐกิจจะส่งผลกระทบเชิงลบต่อธุรกิจลักชัวรีไปอีกอย่างน้อย 18 เดือน หรืออาจจะมากถึง 24 เดือน” ฟิลิปป์ บลองดัวซ์ ซีเอฟโอของ Chanel กล่าวกับสำนักข่าว Reuters
แม้ว่า 85% ของหน้าร้าน Chanel ทั่วโลกจะกลับมาเปิดทำการได้แล้ว และยอดขายของแบรนด์ในจีนกลับมาโตมากกว่า 100% ในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา รวมถึงเห็นการฟื้นตัวทั้งในปารีส มิลาน และเบอร์ลิน แต่บลองดัวซ์ยังมองว่า “การดำเนินงานที่แข็งแกร่งเหล่านี้ยังไม่สามารถชดเชยรายได้ธุรกิจระหว่างประเทศได้ เพราะนักท่องเที่ยวต่างชาติในแต่ละประเทศที่หายไปมีผลกับธุรกิจดิวตี้ฟรีของเรา และดิวตี้ฟรีคือกลุ่มธุรกิจที่ยังต้องปิดอีกยาวนาน”
ดังนั้น เพื่อตอบสนองการคาดการณ์เชิงลบในอนาคต Chanel มีการตัดงบโฆษณาแล้ว พร้อมลดกำลังการผลิต รวมถึงกำลังพิจารณากิจกรรมการจัดแฟชั่นโชว์ใหม่
สำหรับภาพรวมธุรกิจลักชัวรี Bain & Company ประเมินว่าธุรกิจนี้รวมทั่วโลกมีมูลค่ากว่า 3.1 แสนล้านเหรียญสหรัฐ แต่ปีนี้อาจจะได้เห็นการหดตัวสูงสุดถึง 35%