-
เซ็น คอร์ปอเรชั่น กรุ๊ป (ZEN) เปิดแผนครึ่งปีหลัง 2563 เตรียมยุบ 3 แบรนด์รองในเครือ คือ แจ่วฮ้อน, FOO Flavor และ Musha by ZEN มุ่งผลักดันเฉพาะ 7 แบรนด์หลักตลาดแมส และ 2 แบรนด์ในตลาดพรีเมียม
-
จัดโครงสร้างองค์กรใหม่ช่วยลดต้นทุน รวมศูนย์บริหารแยกเป็นเพียง 2 กลุ่มคือกลุ่มร้านอาหารญี่ปุ่นกับร้านอาหารไทย จากเดิมที่มีทีมแยกบริหารของแต่ละแบรนด์ และยังคงรัดเข็มขัด ตัดงบลงทุนลงครึ่งหนึ่งเหลือ 100 ล้านบาท
-
หลังรัฐบาลยกเลิกเคอร์ฟิว ZEN พบว่าลูกค้ากลับมาทานอาหารที่ร้าน 80-85% ของปกติ เชื่อธุรกิจนี้จะฟื้นแบบ V-shape ครึ่งปีหลังกลับมาทำกำไร ชดเชยช่วงครึ่งปีแรกที่ขาดทุน
อีกหนึ่งธุรกิจที่ได้รับผลกระทบหนักในช่วงล็อกดาวน์ควบคุมการระบาดของโรค COVID-19 คือ “ร้านอาหาร” แต่ปัจจุบันกลับมาดำเนินธุรกิจกันได้เกือบเป็นปกติแล้ว ทำให้มีความหวังฟื้นตัวเร็วในช่วงครึ่งปีหลัง แต่ก็ยังต้องระวังตัวและประหยัดต้นทุนอยู่
“บุญยง ตันสกุล” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็น คอร์ปอเรชั่น กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ZEN เปิดแผนดำเนินธุรกิจช่วงครึ่งปีหลัง ยังปรับตัวต่อเนื่องอีกหลายอย่าง จากก่อนหน้านี้บริษัทปรับกลยุทธ์รับมือ COVID-19 โดยไปมุ่งเน้นเดลิเวอรี่อย่างเต็มที่เพื่อช่วยพยุงกระแสเงินสดไว้ ในช่วงที่เปิดร้านอาหารบนห้างสรรพสินค้าไม่ได้ยาวนานถึง 56 วัน
ยุบ 3 แบรนด์รอง เน้น 7+2 แบรนด์หลัก
สิ่งที่บริษัทจะปรับจากนี้คือการยุบแบรนด์รอง 3 แบรนด์ ได้แก่ แจ่วฮ้อน (4 สาขา) FOO Flavor (2 สาขา) และ Musha by ZEN (3 สาขา) เพื่อมาเน้นการลงทุนสาขาและการตลาดกับแบรนด์หลักในพอร์ตเท่านั้น โดยสาขาเดิมของแบรนด์ร้านอาหารเหล่านี้จะถูกปรับไปเป็นร้านอาหารแบรนด์หลักในพอร์ตแทน เช่น FOO Flavor สาขาเอ็มควอเทียร์ถูกปรับเป็นร้าน On the table และสาขาลาดพร้าวกำลังจะถูกปรับเป็นร้าน Din’s ในเดือนสิงหาคมนี้
ส่วน 7+2 แบรนด์หลักดังกล่าว แยกเป็น 2 กลุ่มคือ กลุ่มร้านอาหารตลาดแมส 7 แบรนด์ คือ ร้านอาหารญี่ปุ่น ZEN, ร้านปิ้งย่าง AKA, ร้านอาหารสไตล์ญี่ปุ่น On the table, ร้านอาหารอีสาน ตำมั่ว, ร้านอาหารตามสั่ง เขียง, ร้านอาหารจีน Din’s และร้านอาหารเวียดนาม ลาวญวน
และอีก 2 แบรนด์ใน กลุ่มร้านอาหารพรีเมียม คือ Sushi CYU (ซูชิชู) ร้านซูชิแบบโอมากาเสะ กับร้าน Tetsu ร้านเนื้อย่างระดับพรีเมียม
บุญยงกล่าวว่า กลุ่มร้านอาหารเหล่านี้คือร้านที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก และช่วยบาลานซ์พอร์ตของ ZEN ได้เหมาะสม เพราะมีร้านอาหารครบทุกสัญชาติ และมีทั้งร้านที่ทำเมนูเดลิเวอรีได้ดี เช่น ตำมั่ว เขียง กับร้านที่ดึงลูกค้ารับประทานในร้านได้ดี เช่น AKA
รัดเข็มขัดเต็มที่ ยุบรวมทีมบริหาร
บุญยงกล่าวต่อไปว่า หลังจัดพอร์ตใหม่แล้ว วันที่ 1 ส.ค. 63 เป็นต้นไป บริษัทจะจัดโครงสร้างองค์กรใหม่เพื่อบริหารต้นทุน จากเดิมบริษัทมีการแยกทีมทำงาน มีตำแหน่ง GM และทีมพัฒนาเมนูอาหารแยกของแต่ละแบรนด์ แต่ละร้านจะได้รับงบการตลาดคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของรายได้ร้าน ซึ่งทำให้ต้นทุนค่อนข้างสูง
ต่อจากนี้ ZEN จะยุบการบริหารจัดแบ่งเหลือเพียง 2 กลุ่มใหญ่คือ กลุ่มร้านอาหารญี่ปุ่น กับ กลุ่มร้านอาหารไทย แต่ละกลุ่มขึ้นตรงกับ CCO – Chief Commercial Officer ไม่มี GM แยกแบรนด์แล้ว และมีทีมพัฒนาเมนูอาหารของกลุ่มรวมกัน ทำให้ใช้คนน้อยลง รวมถึงจะมีการจัดงบการตลาดรวมทั้งกลุ่ม หากช่วงนั้นร้านใดกำลังเป็นกระแส จะทุ่มงบการตลาดให้ส่วนนั้น ไปจนถึงการสั่งวัตถุดิบร่วมกัน ทำให้ประหยัดต้นทุนได้เพิ่มขึ้น
การรวมศูนย์แบบนี้ยังมีข้อดีคือทำให้การทำตลาดและบริการหลังขายทำร่วมกันได้ อาจจะมีการจัดแพ็กเกจร่วมกันหลายแบรนด์ และสามารถเปลี่ยนมาใช้บัตรสมาชิกสะสมแต้มหรือส่วนลดของทั้งกลุ่ม จากปัจจุบันแยกเป็นบัตรสมาชิกของแต่ละแบรนด์อยู่
ทั้งนี้ เฉพาะร้านระดับพรีเมียม 2 แบรนด์คือ Sushi CYU และ Tetsu จะยังมีทีมบริหารแยกเป็นเอกเทศ เพราะลักษณะร้านอาหาร เป้าหมายลูกค้า วัตถุดิบ แตกต่างจากร้านระดับแมส
ตัดงบลงทุน เน้นทำ “ครัวกลาง” ส่งเดลิเวอรี่
ด้านแผนการลงทุนก็ยังคงตัดงบดังที่เคยแจ้งไว้เมื่อเดือนมีนาคม คือลดจาก 200 ล้านบาทเหลือประมาณ 100 ล้านบาท โดยแบรนด์ที่ยังมีการเปิดสาขาใหม่คือ AKA และ On the table นอกจากนั้นเป็นการรีโนเวตสาขาเดิม และเน้นผลักดันการขายแฟรนไชส์ร้าน “เขียง” แทน ซึ่งเชื่อว่าปีนี้ร้านเขียงจะเพิ่มสาขาไปแตะ 100 สาขาสำเร็จ
แม้สาขาใหม่อาจจะมีน้อย แต่บุญยงกล่าวว่า ครัวกลางในลักษณะ Cloud Kitchen ของบริษัทจะเพิ่มขึ้นเท่าตัวในปีนี้ จากปัจจุบันมี 30 สาขา เพิ่มเป็น 60 สาขา เพราะเป็นโมเดลที่ใช้ได้ดี ปัจจุบันทำรายได้เฉลี่ย 2 ล้านบาทต่อเดือนต่อสาขา
ครัวกลางของ ZEN คือโมเดลสอดไส้อีกแบรนด์หนึ่งเข้าไปในครัวของร้านที่มีหน้าร้านเพื่อให้เป็นจุดส่งเดลิเวอรี่ เช่น ครัวร้านตำมั่วบางสาขาสามารถทำเมนูร้านเขียงสำหรับส่งเดลิเวอรี่ได้ด้วย เป็นการขยายพื้นที่ที่ลูกค้าสามารถสั่งเดลิเวอรี่ได้ให้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะไม่ต้องลงทุนทำสาขาใหม่ เพียงฝึกแม่ครัวร้านเดิมให้ทำเมนูเพิ่มขึ้นได้ก็พอ
ร้านอาหารฟื้นแบบ V-shape แต่ยังไม่ 100%
สำหรับสถานการณ์หลังรัฐบาลคลายล็อกดาวน์ไปแล้วทุกเฟส บุญยงกล่าวว่า ลูกค้ากลับมาทานอาหารที่ร้าน 80-85% ของช่วงเวลาปกติ ซึ่งเร็วกว่าที่บริษัทเคยคาดไว้ ทำให้เดือนมิถุนายนที่ผ่านมาเป็นเดือนที่บริษัทถึงจุดคุ้มทุน หลังจากขาดทุนติดต่อกันมาตั้งแต่เดือนมีนาคม
มองว่าธุรกิจร้านอาหารน่าจะฟื้นตัวได้แบบ V-shape แต่ก็ยังไม่ถึงจุดเดียวกับช่วงก่อน COVID-19 เพราะประเทศไทยยังขาดลูกค้ากลุ่มนักท่องเที่ยว ทำให้ร้านอาหารบางจุดยังต้องปิดต่อไป คือ เกาะสมุย พัทยา ภูเก็ต และหัวหิน
รวมรายได้ตลอดทั้งปี บุญยงเชื่อว่าบริษัทจะมีรายได้ลดลงจากปีก่อนราว 15-20% แต่จะไม่ขาดทุน เพราะได้ปรับกลยุทธ์ลดต้นทุนไปดังกล่าวทำให้ครึ่งปีหลังนี้จะทำกำไร ชดเชยการขาดทุนในช่วงครึ่งปีแรกได้พอดี
ทั้งนี้ ผลประกอบการที่ ZEN รายงานต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ปี 2562 มีรายได้ 3,144 ล้านบาท กำไรสุทธิ 106 ล้านบาท ขณะที่ไตรมาส 1/63 ทำรายได้ 644 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ -44 ล้านบาท จากการถูกสั่งปิดร้านอาหารไปเพียง 10 วัน ส่วนไตรมาส 2/63 คาดการณ์กันว่าผลขาดทุนจะยิ่งสาหัส เนื่องจากร้านถูกปิดยาวจนถึงปลายเดือนพฤษภาคมจึงจะกลับมาดำเนินการได้