“ทรัมป์” ยันไม่บังคับชาวอเมริกัน “สวมหน้ากาก” ท่ามกลางผู้ติดเชื้อใหม่ทุบสถิติเกิน 7 หมื่น

Photo : Shutterstock
สหรัฐฯ พบผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เพิ่มขึ้นกว่า 70,000 คนต่อเนื่องเป็นวันที่สอง ขณะที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ยืนกรานจะไม่ออกคำสั่งบังคับให้ชาวอเมริกันสวมหน้ากากเพื่อชะลอการแพร่ระบาดของไวรัส

จากการรวบรวมข้อมูลของรอยเตอร์พบว่า ยอดผู้ป่วยใหม่ในสหรัฐฯ วันที่ 17 ก.ค. อยู่ที่ 70,674 ราย หลังจากพุ่งสำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ 77,499 รายเมื่อช่วง 24 ชั่วโมงก่อนหน้า และนับเป็นตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวันสูงที่สุดยิ่งกว่าประเทศใดๆ นับตั้งแต่ COVID-19 เริ่มแพร่ระบาด

ขณะเดียวกัน ยอดผู้เสียชีวิตในสหรัฐฯ ก็เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 912 รายในวันที่ 17 ก.ค. ซึ่งนับเป็นวันที่ 4 ต่อเนื่องที่ยอดเสียชีวิตพุ่งเกินกว่า 900 ศพ

อย่างไรก็ดี ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ยังยืนกรานเสียงแข็งกว่าจะไม่ออกคำสั่งบังคับให้ชาวอเมริกันทุกคนต้องสวมหน้ากากปิดใบหน้า-จมูก

“ผมต้องการให้เสรีภาพกับประชาชนบ้าง และผมเองก็ไม่เชื่อเรื่องนั้นด้วย… ไม่” ทรัมป์ ให้สัมภาษณ์กับพิธีกร คริส วอลเลซ ในรายการฟ็อกซ์นิวส์ซันเดย์

ทรัมป์ ยังแสดงท่าทีกังขาเกี่ยวกับประสิทธิภาพของหน้ากากในการป้องกัน COVID-19 โดยอ้างไปถึงคำพูดของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในช่วงที่ไวรัสระบาดใหม่ๆ ว่าหน้ากากนั้นไม่จำเป็นสำหรับคนที่มีสุขภาพแข็งแรง

Photo : Shutterstock

“ผมไม่เชื่อคำกล่าวอ้างที่ว่า ถ้าทุกคนสวมหน้ากาก ไวรัสจะหายไปเอง” ทรัมป์ กล่าว เมื่อถูกถามถึงคำพูดของผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคสหรัฐฯ (CDC) ซึ่งเคยออกมาบอกว่าสหรัฐฯ จะสามารถคุมการระบาด COVID-19 ได้ภายใน 4-6 สัปดาห์ หากประชาชนทุกคนพร้อมใจกันสวมหน้ากาก

“ดร. แอนโธนี เฟาซี (ผู้อำนวยการสถาบันโรคภูมิแพ้และโรคติดต่อแห่งชาติสหรัฐฯ) เคยพูดว่าไม่ต้องสวมหน้ากาก, ศัลยแพทย์ใหญ่ของเราซึ่งเป็นคนที่ยอดเยี่ยมสุดๆ ก็บอกว่าไม่ต้องสวม ทุกคนพูดเหมือนกันหมดว่าไม่ต้องสวม แต่แล้วจู่ๆ ทุกคนก็เกิดจำเป็นต้องสวมหน้ากากขึ้นมาซะงั้น แต่ถึงยังไงผมก็ยังเชื่อในหน้ากากนะ ผมเชื่อว่ามันเป็นสิ่งที่ดี”

CDC ได้ออกคำแนะนำในเดือน เม.ย. ให้ชาวอเมริกันหันมาสวมหน้ากากเพื่อชะลอการระบาดของ COVID-19 หลังมีหลักฐานยืนยันว่า ผู้ป่วยที่ไม่แสดงอาการสามารถแพร่เชื้อไวรัสสู่ผู้อื่นได้

ทรัมป์ ยอมสวมหน้ากากต่อหน้าสาธารณชนเป็นครั้งแรกขณะไปเยี่ยมโรงพยาบาลทหารวอเตอร์รีดที่ชานกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เมื่อสุดสัปดาห์ที่แล้ว หลังจากที่ดื้อดึงปฏิเสธมาโดยตลอด โดยเมื่อตอนที่รัฐบาลสหรัฐฯ ออกคำแนะนำเรื่องการสวมหน้ากากเมื่อเดือน เม.ย. ทรัมป์ ก็ออกตัวทันทีว่าตนเองจะไม่สวม โดยอ้างว่าจะทำให้มองหน้าผู้นำต่างชาติไม่ถนัด

ในช่วงไม่กี่สัปดาห์มานี้ คนในพรรครีพับลิกันและบุคลากรสื่อสายอนุรักษนิยมเริ่มหันมารณรงค์ให้ชาวอเมริกันสวมหน้ากากเพื่อยับยั้ง COVID-19 โดยชี้ว่าวิธีนี้จะทำให้ภาคธุรกิจมีโอกาสกลับมาเปิดได้อีกครั้ง และเป็นหนทางฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ได้ผล

Photo : Shutterstock

ผู้ว่าการรัฐต่างๆ ในอเมริกา ตลอดจนผู้นำท้องถิ่นและภาคธุรกิจ เริ่มออกกฎบังคับให้คนสวมหน้ากาก หลังจากที่ยอดผู้ติดเชื้อกลับมาพุ่งสูงขึ้นในหลายรัฐ

ไบรอัน เคมป์ ผู้ว่าการรัฐจอร์เจีย ซึ่งเป็นคนของพรรครีพับลิกัน สนับสนุนให้ประชาชนสวมหน้ากากโดยสมัครใจ แต่ห้ามไม่ให้เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นออกคำสั่งบังคับ โดยเมื่อวันที่ 16 ก.ค. เคมป์ ประกาศจะยื่นฟ้อง เคชา แลนซ์ บอตทอมส์ นายกเทศมนตรีเมืองแอตแลนตา โทษฐานออกกฎบังคับพลเมืองให้สวมหน้ากาก ทั้งที่จำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ในรัฐแห่งนี้ก็พุ่งสูงอย่างน่ากังวล

รัฐฟลอริดาซึ่งจะเป็นสถานที่จัดการประชุมใหญ่ของพรรครีพับลิกันในเดือน ส.ค. เป็นอีกหนึ่งพื้นที่ในสหรัฐฯ ซึ่ง COVID-19 แพร่ระบาดหนัก แต่ถึงกระนั้นผู้ว่าการรัฐ รอน เดอซานทิส ก็ยังคงปฏิเสธที่จะบังคับให้ประชาชนสวมหน้ากาก ขณะที่รัฐอื่นๆ ซึ่งเผชิญวิกฤตแบบเดียวกันอย่างเทกซัส และแคลิฟอร์เนียได้ออกคำสั่งสวมหน้ากากแล้วเพื่อควบคุมการแพร่กระจายของ COVID-19

มาร์ค เมโดว์ส ประธานคณะเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาว ระบุเมื่อต้นเดือนนี้ว่า รัฐบาลสหรัฐฯ ไม่มีแผนที่จะออกคำสั่งระดับชาติให้ประชาชนต้องสวมหน้ากากอนามัย และยกให้เป็นการตัดสินใจของแต่ละรัฐ

Source