“ซิตี้แบงก์” ประเมินเศรษฐกิจโลกปีนี้ ติดลบ 3.5% ก่อนจะฟื้นเป็นบวก 5.5% ในปีหน้า ฝั่งสหรัฐฯ เเละยุโรปยังทรุดยาว โซนเอเชียจะฟื้นก่อนตามเศรษฐกิจจีน ปรับลดตัวเลขจีดีพีไทย ปี 2563 ติดลบ 6.8% หวังจะกลับมาเป็นบวก 3.5% ได้ในปีหน้า จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐ มองทิศทางตลาดหุ้นครึ่งปีหลังยังผันผวนแต่น้อยลง เเนะลงทุนหุ้นวัฏจักรกลุ่มสุขภาพ – เทคโนโลยีและทองคำ เน้นกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย
บุญนิเศรษฐ์ ธัญวรอนันต์ ที่ปรึกษาทางการลงทุน ธนาคารซิตี้แบงก์ ประเทศไทย กล่าวว่า จากปัจจัยแนวโน้มความไม่แน่นอนของสถานการณ์โลก ทั้งการแพร่ระบาดของ COVID-19 ความไม่แน่นอนด้านภูมิศาสตร์การเมืองที่ยังคงตึงเครียด สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ – จีน รวมถึงปัจจัยทางเศรษฐกิจที่ผันผวน
โดยคาดการณ์เศรษฐกิจทั่วโลกในช่วงครึ่งหลังของปี 2563 ว่าจะติดลบ 3.5% ก่อนที่ตลาดโลกจะฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว 5.5% ในปี 2564 ในขณะที่ระดับอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 1.8% และเพิ่มขึ้นเป็น 2.4% ในปี 2564 พร้อมปรับลดตัวเลขจีดีพีของไทยปีนี้ลง จากเดิมคาดว่าจะอยู่ที่ -3.5% เป็น -6.8% และจะกลับมาบวก 3.5% ในปีหน้า เนื่องจากนโยบายการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ภาคการบริโภคจะช่วยหนุนเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวได้
ในส่วนของจีดีพีสหรัฐฯ คาดว่าจะหดตัว -3.3% ซึ่งตอนนี้เริ่มเห็นสัญญาณเชิงบวกของการฟื้นตัวจากตัวเลขอัตราการว่างงานที่ลดลง และตัวเลขยอดค้าปลีกเดือนพ.ค.ที่เพิ่มขึ้น ส่วนตัวเลขจีดีพีของยุโรปคาดว่าจะอยู่ที่ -6.7% จากมาตรการข้อจำกัดต่างๆ โดยแนวโน้มการฟื้นตัวในช่วงครึ่งหลังอาจจะต้องใช้ระยะเวลาประมาณ 2 ปี กว่าจีดีพีจะกลับไปสู่ระดับเดิมเทียบเท่าช่วงไตรมาส 4 ปี 2562 ทำให้ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ออกมาตรการผ่อนคลายทางการเงินและมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับต่ำกว่า 0% ต่อเนื่อง
ขณะที่เอเชียคาดว่าจะขยายตัว 0.5% โดยเฉพาะจีนอาจโตแตะ 2.4% เพราะมีกำลังซื้อในประเทศสูงเเละมีกิจกรรมทางธุรกิจหลังควบคุมการเเพร่ระบาดได้
“ไตรมาส 1 น่าจะเป็นจุดต่ำสุดของการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ เเละช่วงไตรมาส 2 ส่วนใหญ่ยังคงเห็นการถดถอยอยู่ ก่อนที่จะมีการค่อย ๆ ฟื้นตัวขึ้น อย่างไรก็ตาม เมื่อเศรษฐกิจโลกเริ่มกลับมามีการฟื้นตัวใหม่อีกครั้ง แนวโน้มจะเป็นการฟื้นตัวแบบไม่เท่ากันในแต่ละภูมิภาค”
โดยคาดว่า “กลุ่มตลาดเกิดใหม่” (Emerging Market) จะชะลอตัวลงเล็กน้อย -1.5% และคาดว่าจะกลับมาฟื้นตัวขึ้น 6.4% ในปี 2564 ในทางกลับกันตลาดพัฒนาแล้วมีแนวโน้มการเติบโตชะลอตัว -5% ทำให้การลงทุนมีความความท้าทายสูง ถึงแม้ว่าตลาดทุนทั่วโลกกลับตัวบวก 40.6% จากจุดต่ำสุดในเดือนมีนาคมเเล้ว แต่ก็ยังติดลบ 4% เมื่อเทียบกับต้นปี (ข้อมูลเมื่อวันที่ 1 ม.ค. – 23 มิ.ย 63)
ด้าน “น้ำมัน“ ยังคงเป็นที่น่าจับตา โดยน้ำมันดิบยังมีอุปสงค์สวนทางกับอุปทานจึงคาดว่าจะส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบเบรนท์และน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 42 และ 38 ดอลลาร์สหรัฐต่อบารร์เรลตามลำดับ
“ทองคำ“ ยังเป็นที่ต้องการของตลาด มองดอกเบี้ยที่ต่ำมาก และการทำ QE ของแต่ละประเทศใหญ่ๆ ทำให้เกิดภาวะเม็ดเงินล้นระบบ นักลงทุนสนใจลงทุนในทองคำมากขึ้น “เป็นเทรนด์ขาขึ้น” โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 1,600 -1,800 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ และมีแนวโน้มว่ามูลค่าเฉลี่ยจะขยับขึ้นในระดับประมาณ 2,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ในปี 2564
ส่วนประเด็น “ค่าเงิน” ต้องจับตาเป็นพิเศษเพราะยังคงมีความผันผวนสูง โดยเฉพาะค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ในปีนี้คาดยังมีแนวโน้มอ่อนค่าลงในระยะกลางถึงระยะยาว จากปัจจัยการขยายงบดุลของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) เพื่อตอบสนองสภาพคล่องต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ส่วนกรอบความเคลื่อนไหวเงินบาทไทยคาดว่าจะอยู่ระหว่าง 31.0 – 31.3 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.5% จนถึงต้นปี 2564
สำหรับการลงทุน เเนะให้เน้นไปที่กลุ่มตลาดเกิดใหม่ภูมิภาคเอเชีย และกระจายการลงทุนไปในสินทรัพย์ที่หลากหลาย โดยแบ่งเป็น 4 ธีม ดังนี้
- ลงทุนกระจายความเสี่ยงลดความผันผวน
- ลงทุนบริษัทที่มีการเติบโตที่ดี
- ลงทุนในตราสารหนี้ที่ยังคงให้ดอกเบี้ยที่ดี
- ลงทุนในสิ่งที่ปลอดภัย
โดยเเนะนำให้ลงทุนใน กลุ่มอุ
- เอเซีย พลัส ประเมิน “จีดีพีไทย 2563” ร่วงแรง -8.4% หวังใช้จ่ายภาครัฐช่วยฟื้นเศรษฐกิจ
- SCB ลดจีดีพีปีนี้ ติดลบ 7.3% จะฟื้นตัวเเบบ “ช้าๆ” ครัวเรือนไทยมีเงินไม่พอรายจ่าย 3 เดือน
- พิษ COVID-19 สะเทือน “ตลาดหุ้นไทย” มาร์เก็ตแคป หายไปเกือบ 5 ล้านล้านบาท