Jeff Bezos ซีอีโอของยักษ์ค้าปลีก Amazon มหาเศรษฐีผู้ร่ำรวยที่สุดในโลก แจ้งต่อคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ (SEC) ว่าได้ขายหุ้นของบริษัท จำนวน 1 ล้านหุ้น คิดเป็นมูลค่ารวม 3.1 พันล้านเหรียญ (ราว 9.6 หมื่นล้านบาท) หลังถูกวิจารณ์ว่าผูกขาดในธุรกิจอีคอมเมิร์ซ
โดยการขายหุ้นครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของแผนเทรดหุ้นที่กำหนดขึ้นโดย SEC ซึ่งอนุญาตให้ผู้ถือหุ้นรายใหญ่สามารถขายหุ้นล่วงหน้า เพื่อป้องกันการเกิดข่าวลือจากพวกวงใน
ก่อนหน้านี้ Bezos ได้ขายหุ้น Amazon ไปแล้วเป็นมูลค่า 4.1 พันล้านเหรียญ ทำให้ตั้งเเต่ต้นปีนี้ เขาขายหุ้นไปแล้วเป็นเงินสูงถึง 7.2 พันล้านเหรียญ
เเต่ก็ถือเป็นเเค่ “เสี้ยวหนึ่ง” ของทั้งหมดเท่านั้น เพราะผู้ก่อตั้ง Amazon ยังคงถือหุ้นใหญ่ในบริษัทอยู่กว่า 54 ล้านหุ้น มูลค่ารวมกว่า 1.7 แสนล้านเหรียญ ทำให้เขายังเป็นมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในโลกต่อไป เเละยิ่งรวยขึ้นไปอีกจากอานิสงส์ธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่บูมขึ้นในช่วงวิกฤต COVID-19
โดย Amazon เผยประกอบการในไตรมาสที่ 2/2020 เมื่อช่วงเดือน ก.ค.ที่ผ่านมาว่า บริษัทมีรายได้อยู่ที่ 8.8 หมื่นล้านเหรียญ เพิ่มขึ้นจากในไตรมาส 1/2020 ซึ่งอยู่ที่ 7.5 หมื่นล้านเหรียญ เเละหุ้นของ Amazon มีราคาเพิ่มขึ้นมากถึง 73% ในปีนี้ ตามรายงานของ Bloomberg
มหาเศรษฐีรวยที่สุดในโลก เคยบอกว่า เขามีแผนจะขายหุ้นทุกปี เป็นมูลค่าปีละ 1 พันล้านเหรียญ เพื่อนำเงินไปลงทุนใน Blue Origin บริษัทด้านการพัฒนาจรวดและการขนส่งอวกาศที่เขาก่อตั้งขึ้น
สำหรับความเคลื่อนไหวในการเทขายหุ้นครั้งล่าสุดนี้ เกิดขึ้นหลัง Bezos ในฐานะผู้บริหาร Amazon พร้อมด้วยผู้บริหารของ 3 บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ในสหรัฐฯ อย่าง Facebook , Apple เเละ Alphabet ได้ขึ้นให้การกับคณะอนุกรรมาธิการด้านการต่อต้านการผูกขาดทางธุรกิจแห่งสภาคองเกรสสหรัฐฯ ในสัปดาห์ที่ผ่านมา โดย Bezos ถูกกล่าวหาว่า ผูกขาดในธุรกิจอีคอมเมิร์ซในสหรัฐฯ ด้วยการครองสัดส่วนทางธุรกิจสูงถึง 75%
ในช่วงการะบาดใหญ่ มีมหาเศรษฐีระดับโลกหลายคน “รวยขึ้น” โดยทรัพย์สินของบรรดาอภิมหาเศรษฐีสหรัฐฯ ในนั้นรวมถึง Jeff Bezos เเละ Mark Zuckerberg ซีอีโอ Facebook รวมกันพุ่งทะยานกว่า 19% นับตั้งแต่ COVID-19 เข้าโจมตีอเมริกา โดยมีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นถึง 5.65 เเสนล้านเหรียญ สวนทางกับคนธรรมดาทั่วไปที่เคยมียอดยื่นขอรับสวัสดิการคนว่างงานสูงสุดกว่า 42.6 ล้านคน