ถือว่าเป็นปีที่หนักของหลายอุตสาหกรรม รวมถึงอุตสาหกรรมรถยนต์ (Automotive) เพราะแค่เฉพาะยอดขายในงาน ‘Motor Show’ ยังหายไป 50% ขายได้เพียง 20,000 คัน ขณะที่ภาพรวมทั้งปียอดขายรถยนต์อาจทำได้เพียง 6 แสนคัน จากปกติปิดที่ 9 แสนคัน ขณะที่นีลเส็นคาดการณ์ว่าการใช้เงินโฆษณาของกลุ่มยานยนต์จะลดลงมากถึง 35% จากปกติอยู่ที่ 3,555 ล้านบาท
ธนพล ทรัพย์สมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร YDM Thailand กล่าวว่า “เมื่อก่อนค่ายรถยนต์ใช้เงินมหาศาลกับการสร้าง Lead หรือการสร้างลูกค้า ซึ่งส่วนใหญ่จะทำแบบเหวี่ยงแหเพื่อให้แมสซึ่งอาจไม่ได้ผล เพราะไม่มีการรับประกันว่าจะเกิดยอดขายเท่าไหร่ ซึ่งนี่คือ Pain Point ที่สำคัญ ดังนั้น การเปลี่ยนมาทำการตลาดแบบเจาะจงอาจจะได้ยอดขายที่เท่ากัน แต่ประหยัดต้นทุนกว่า”
เมื่อเห็นโอกาสจากปัญหาดังกล่าว ‘YDM Thailand’ จึงผนึกกับ ‘บมจ. กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล’ ที่คร่ำวอดอยู่ในวงการรถยนต์มากว่า 50 ปี เปิดตัว ‘Automatrix Solutions’ บริษัทรับทำการตลาดสำหรับธุรกิจยานยนต์โดยเฉพาะ โดยผสานจุดแข็งของกรังด์ปรีซ์ที่มีข้อมูลด้านรถยนต์มหาศาล และเทคโนโลยีกับความเชี่ยวชาญด้านมาร์เก็ตติ้งของ YDM เพื่อให้บริการแบบ Total Marketing and Sale Solutions ทำการตลาดทั้งออนไลน์และออฟไลน์แบบครบวงจร นอกจากนี้ยังมีบริการแบบ Commission Base เพื่อการันตียอดขาย
“เรามั่นใจว่าสามารถลดต้นทุนของแบรนด์ได้ 100% และการันตียอดขาย เพราะเราไม่ได้ทำการตลาดจากจุดเริ่มเหมือนแบรนด์ แต่เราเริ่มจากข้อมูลของผู้ที่มีความสนใจจริง ๆ ดังนั้นเราสามารถสร้างคอนเทนต์ที่โดนใจที่สุด และเอาไปลงสื่อโฆษณาทั้งออนไลน์และออฟไลน์ และสามารถสร้างให้เกิด Lead เพื่อสร้างประสบการณ์และปิดการขาย”
ปัจจุบัน บริษัทมีข้อมูลผู้สนใจซื้อรถหลากหลายรุ่น หลากหลายยี่ห้อ รวมกันแล้วกว่าล้านคน โดยข้อมูลมาจากหลากหลายช่องทาง ทั้งเว็บไซต์และโซเชียลมีเดียในเครือกรังด์ปรีซ์, ผู้เข้าชมในงาน Motor Show ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ นอกจากนี้ยังมีข้อมูลจากแอปพลิเคชัน ‘Car Buddy’ ที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องรถยนต์ อาทิ ข้อมูลอู่รถยนต์ ที่ปัจจุบันมีประมาณ 5,000 กว่ารายที่อยู่ในแอปฯ ปัจจุบันมียอดดาวน์โหลดกว่า 1.2 แสนครั้ง
สำหรับกลุ่มเป้าหมายของบริษัทจะไม่จำกัดเพียงค่ายรถยนต์ที่ปัจจุบันมีกว่า 30 แบรนด์ แต่รวมถึงดีลเลอร์ต่าง ๆ และอาจต่อยอดไปในส่วนของธุรกิจประกันในอนาคต เบื้องต้น บริษัทกำลังเจรจากับแบรนด์รถยนต์ 3 ค่าย โดยคาดว่าจะจบดีลภายในสิ้นปีนี้แน่นอน และภายใน 1 ปีหลังจากดำเนินงาน บริษัทตั้งเป้ารายได้ที่ 40-50 ล้านบาท
“เป้าหมายระยะสั้นคือ กระแสตอบรับของแบรนด์ เพราะตอนนี้แบรนด์สนใจ แต่รายังต้องพิสูจน์ว่าจะช่วยสร้างขายเป็นกอบเป็นกำแค่ไหน เพราะความท้าทายจริง ๆ ของเราคือ จะสามารถปิดการขายได้มากแค่ไหนเมื่อเทียบกับดีลเลอร์”
อย่างไรก็ตาม บริษัทไม่ได้เห็นโอกาสเพียงในตลาดรถยนต์ แต่มองว่า ‘ตลาดความงาม’ เป็นตลาดที่น่าสนใจเช่นกัน โดยบริษัทสามารถใช้รูปแบบการหาพาร์ตเนอร์ที่มีข้อมูลมารวมกับความสามารถด้านมาร์เก็ตติ้งเพื่อทำโซลูชันการขาย เพราะปัจจุบันวงการเอเจนซี่แข่งขันกันรุนแรง ขณะที่แบรนด์เองก็ต้องรัดเข็มขัดการใช้งบการตลาดเพราะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นจากพิษ COVID-19