CPN เปิดงบไตรมาส 2/63 รายได้รวม 3,613 ล้าน ขาดทุน 611 ล้าน แต่ครึ่งปียังมีกำไร

เซ็นทรัลพัฒนา หรือ CPN รายงานผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2563 มีรายได้รวม 3,613 ล้านบาท ขาดทุน 611 ล้านบาท แต่ภาพรวมครึ่งปีแรกมีรายได้รวม 12,183 ล้านบาท และกำไร 1,890 ล้านบาท ส่วนใหญ่มาจากผลการดำเนินงานช่วง 2 เดือนแรก

ล็อกดาวน์ทำขาดทุน 611 ล้าน

บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN รายงานผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2563 แม้มีรายได้และกำไรสุทธิที่ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ภาพรวมครึ่งปีแรกของปี 2563 ยังมีกำไรสุทธิครึ่งปีแรกอยู่ที่ 1,890 ล้านบาท

ผลประกอบการในไตรมาสที่ 2 ปี 2563 ลดลง โดยหากไม่รวมรายการที่มิได้เกิดขึ้นเป็นประจำและผลกระทบจากมาตรฐานรายงานทางการเงิน มีรายได้รวม 3,613 ล้านบาท และมีผลขาดทุนสุทธิ 611 ล้านบาท ในขณะที่ภาพรวมครึ่งปีแรกของปี 2563 มีรายได้รวม 12,183 ล้านบาท และกำไรจากการดำเนินงานหลักอยู่ที่ 1,890 ล้านบาท ส่วนใหญ่มาจากผลการดำเนินงานช่วง 2 เดือนแรก

นภารัตน์ ศรีวรรณวิทย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน และรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงิน บัญชี และบริหารความเสี่ยงของ CPN กล่าวว่า

“จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ส่งผลให้ในช่วงล็อกดาวน์ บริษัทฯ ต้องปิดศูนย์การค้าเป็นการชั่วคราวทั้ง 33 แห่งในประเทศไทย และ 1 แห่งในประเทศมาเลเซีย รวมทั้งสิ้น 34 แห่ง โดยมีระยะเวลาการปิดศูนย์ที่แตกต่างกันตามแต่ละพื้นที่ระหว่าง 45-56 วัน โดยยังคงเปิดให้บริการในส่วนที่จำเป็นแก่ลูกค้า รวมทั้งผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมในธุรกิจอื่น อาทิ ศูนย์อาหารและโรงแรม เป็นต้น ซึ่งในระยะเวลาต่อมาได้ให้ความช่วยเหลือแก่ร้านค้าและผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม เพื่อร่วมกันประคับประคองผ่านพ้นสถานการณ์วิกฤตไปด้วยกัน”

นอกจากนี้ CPN ยังรักษาความแข็งแกร่งของฐานะการเงินด้วย Net D/E ณ สิ้นไตรมาส 2 อยู่ที่ 0.55 เท่า ต่ำกว่าระดับนโยบายของบริษัทฯ ที่ 1 เท่า ซึ่งถือว่ามีความพร้อมและยืดหยุ่นมากในการบริหารโครงสร้างเงินทุนของบริษัท ทั้งนี้หลังจากมีการประกาศมาตรการผ่อนคลายล็อกดาวน์จากทางภาครัฐ ที่ทางบริษัทฯ ได้กลับมาเปิดให้บริการศูนย์การค้าทั้ง 34 แห่งอีกครั้งในเดือนพฤษภาคม 2563 บริษัทฯ ได้มีการบริหารจัดการลดต้นทุนและลดค่าใช้จ่ายทุกด้าน พร้อมปรับแผนการดำเนินงานใหม่ให้เหมาะสมเพื่อบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อรายได้ และกำไร โดยคำนึงถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วนและรักษาผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้น

นอกจากนี้ ได้มีการช่วยเหลือดูแลร้านค้าผู้เช่า และคู่ค้าที่ได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่องด้วยการพิจารณายกเว้นค่าเช่าในช่วงที่มีการปิดศูนย์ และปรับลดค่าเช่าตามสัดส่วนที่เหมาะสมทำให้ผู้เช่าสามารถกลับมาเปิดให้บริการในศูนย์การค้าได้อีกครั้ง ส่งผลให้บริษัทฯ สามารถรักษาอัตราพื้นที่เช่าไว้ได้เฉลี่ยที่ 92% เท่ากับช่วงเดียวกันของปีก่อน”

เดินหน้าลงทุนตามแผนเดิม

CPN ยังคงเดินหน้าพัฒนาโครงการใหม่ตามแผนระยะยาวที่วางไว้ โดยโครงการมิกซ์ยูสที่อยู่ระหว่างการพัฒนา ได้แก่ เซ็นทรัลพลาซา อยุธยา และเซ็นทรัลพลาซา ศรีราชา (กำหนดเปิดปี 2564) เซ็นทรัลพลาซา จันทบุรี (กำหนดเปิดปี 2565) และโครงการ ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค ที่ร่วมพัฒนากับบริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) บนทำเลทอง “ซูเปอร์คอร์ ซีบีดี” ในกรุงเทพฯ โดยจะทยอยเปิดให้บริการในปี 2566-2567 เป็นต้นไป

สำหรับแผนการลงทุนและเป้าหมายทางธุรกิจในระยะ 5 ปี (ปี 2563-2567) บริษัทฯ ได้มีการปรับแผนการลงทุน และแผนพัฒนาโครงการใหม่ที่ยังไม่ได้ประกาศ ทั้งโครงการอสังหาริมทรัพย์แบบผสม (Mixed-use Development) โครงการที่พักอาศัย รวมถึงแผนการปรับปรุงสินทรัพย์ที่มีอยู่ในปัจจุบันเพื่อเพิ่มมูลค่าเพื่อเตรียมความพร้อม และรักษาสถานะทางการเงินและสภาพคล่องเพื่อรองรับการดำเนินธุรกิจท่ามกลางสถานการณ์ที่ท้าทายจาก COVID-19

CentralPlaza Siracha

รวมทั้งศึกษาโอกาสการลงทุนธุรกิจใหม่ในรูปแบบอื่น การเข้าซื้อกิจการ และการลงทุนในต่างประเทศในแถบภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาทิ มาเลเซีย และเวียดนาม รวมถึงศึกษาโอกาสการลงทุนในธุรกิจใหม่ที่มีศักยภาพการเติบโตสูงเพื่อขยายช่องทางในการสร้างรายได้ใหม่ และสอดคล้องกับแผนการเติบโตตามเป้าหมายในอนาคตอย่างมั่นคง และยั่งยืน

ปัจจุบัน CPN บริหารจัดการศูนย์การค้า 34 แห่ง มีพื้นที่ให้เช่าสุทธิรวม 1.8 ล้านตารางเมตร (อยู่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล 15 โครงการ, ต่างจังหวัด 18 โครงการ และในมาเลเซีย 1 โครงการ) ศูนย์อาหาร 30 แห่ง อาคารสำนักงาน 7 อาคาร โรงแรม 2 แห่ง โครงการที่พักอาศัยอีก 12 โครงการ ประกอบด้วยคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ ESCENT, ESCENT  VILLE, ESCENT PARK VILLE, และ PHYLL จำนวน 9 โครงการ และโครงการแนวราบ จำนวน 3 โครงการ

ซึ่งเมื่อไตรมาส 1 ปี 2563 ที่ผ่านมา ได้เปิดตัว 2 โครงการใหม่ ได้แก่ โครงการ เอสเซ็นท์ทาวน์ พิษณุโลก และนินญา กัลปพฤกษ์ ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดี นอกจากนี้ CPN เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัท แกรนด์ คาแนล แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ GLAND ซึ่งเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีสินทรัพย์ที่ดำเนินการแล้ว และสินทรัพย์ที่รอการพัฒนาอยู่บนทำเลศักยภาพสูงในกรุงเทพฯ