MUJI ประกาศปรับราคาลงอีก 604 รายการ จากต้นทุนลดลง และให้เข้าถึงตลาดไทยง่ายขึ้น

ภาพ : muji.thailand
ปีนี้ MUJI ประกาศปรับราคาลงอีกกว่า 604 รายการ หลังจากที่ปีก่อนได้ปรับลงแล้วกว่า 119 รายการ สาเหตุจากการควบคุมการผลิตได้ดีขึ้น ทำให้ได้ราคาที่ถูกลง และต้องการให้เข้าถึงตลาดประเทศไทยได้มากขึ้นด้วย

ปรับราคาให้เข้าถึงง่าย

เป็นโรดแมปที่ทาง MUJI ประเทศไทยได้ประกาศมาเป็นเวลา 2-3 ปีนี้ ต้องการขยายพื้นที่ร้านค้าให้ใหญ่ขึ้น และปรับราคาสินค้าให้มีราคาถูกลง หวังให้มีราคาเทียบเท่ากับที่ประเทศญี่ปุ่น เพื่อให้เข้าถึงคนไทยได้มากขึ้น ในราคาสมเหตุสมผล

โดยในปี 2562 MUJI ได้ปรับราคาสินค้า 119 รายการ ล่าสุดเดินหน้าปรับราคาสินค้ารวมกว่า 604 รายการ โดยแบ่งเป็นสินค้าในกลุ่มเสื้อผ้า จำนวน 127 รายการ และสินค้ากลุ่มของเครื่องใช้ในบ้านอีก 477 รายการ เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา และจะปรับราคาสินค้าเฟอร์นิเจอร์ 55 รายการในเดือนกันยายนนี้

อีกหนึ่งเหตุผลที่ MUJI ปรับราคาสินค้าลง ก็เพราะว่า “ต้นทุนลดลง” ด้วย ทางแบรนด์มีวิธีบริหารจัดการกระบวนการผลิต และการกระจายสินค้าให้สามารถปรับราคาสินค้าลงได้จึงเลือกที่จะปรับราคาลง แทนที่จะเอากำไรมากขึ้น

อกิฮิโร่ คาโมการิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท มูจิ รีเทล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า

“MUJI มีแนวคิดในการนำเสนอสินค้าคุณภาพดี มีประโยชน์ ในราคาที่สมเหตุสมผลให้กับผู้บริโภคในประเทศไทย ด้วยเป้าหมายให้ MUJI เป็นแบรนด์สินค้าสำหรับใช้ในชีวิตประจำวัน ที่สามารถเข้าถึงได้ง่าย ในราคาที่จับต้องได้ง่ายขึ้น โดยการปรับราคาสินค้าเกิดจากการบริหารจัดการอย่างต่อเนื่อง การลดกระบวนการการผลิตที่ไม่จำเป็น แต่ยังคงเพิ่มประสิทธิผลในการผลิตที่ได้คุณภาพ หรือแม้แต่การบริหารจัดการกระบวนการกระจายสินค้า เพื่อให้มีความสามารถในการบริหารจัดการต้นทุนภาพรวมของสินค้าได้ดีที่สุด และนำประโยชน์จากกระบวนการดังกล่าวไปส่งต่อสู่ลูกค้า ซึ่งผู้บริโภคในประเทศไทยจะได้ประโยชน์จากการเข้าถึงสินค้าคุณภาพมาตรฐาน MUJI ได้ในราคาที่จับต้องได้และสมเหตุสมผล”

เน้นสาขาขนาดใหญ่ นำเสนอสินค้าได้มากขึ้น

อีกหนึ่งกลยุทธ์สำคัญของ MUJI ในประเทศไทย คือ การขยายช่องทางจำหน่ายบนทำเลศักยภาพ และเน้นสาขาที่ใหญ่ขึ้น เพื่อรองรับสินค้าที่มากขึ้น โดยปกติแล้วร้าน MUJI มีพื้นที่เฉลี่ย 725-750 ตารางเมตร มีแผนปรับร้านค้าให้มีพื้นที่มากขึ้นอยู่ที่ 1,000-1,700 ตารางเมตร

เมื่อปีที่แล้วได้นำร่องเปิดสาขาใหญ่ที่สามย่านมิตรทาวน์ กลายเป็นสาขาที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ด้วยพื้นที่รวมทั้งหมด 1,925 ตารางเมตร (รวมพื้นที่สต็อกสินค้า) แต่ถ้านับเฉพาะพื้นที่ขาย 1,700 ตารางเมตร จากเดิมที่มีสาขาเซ็นทรัลเวิลด์เป็นสาขาแฟล็กชิพสโตร์ มีพื้นที่ 1,000 ตารางเมตร

การเปิดร้านของ MUJI ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมานี้ จะไม่ได้เน้นที่การขายเพียงอย่างเดียว แต่ต้องมีประสบการณ์อื่นๆ ควบคุ่ไปด้วย เช่น มุมร้านกาแฟ มุมหนังสือ หรือโซนเวิร์กช็อป จุดให้บริการตัดขากางเกง ปักผ้า รวมถึงโชว์รูมที่ได้โชว์สินค้าในสต็อกมากขึ้น

ล่าสุด MUJI ได้เปิดร้านสาขาใหญ่เป็นแห่งที่ 2 ที่เดอะมอลล์งามวงศ์วาน เรียกว่าเป็นสาขาแรกในตระกูล “เดอะมอลล์” ก็ว่าได้ เพราะปกติ MUJI จะขยายสาขาในเครือเซ็นทรัล เพราะเป็นหนึ่งในหน่วยธุรกิจในกลุ่มเซ็นทรัล

สาขาเดอะมอลล์ งามวงศ์วานเป็นสาขาที่ 20 ในประเทศไทย มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจาก MUJI สาขาสามย่านมิตรทาวน์ ถือว่าเป็นย่านศูนย์กลางธุรกิจ CBD (Central Business District) ในจังหวัดนนทบุรีที่มีการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง กลุ่มประชากรที่อาศัยอยู่ในทำเลนี้นับว่าเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อ สามารถเชื่อมต่อการเดินทางได้หลายเส้นทาง มีการหมุนเวียนของจำนวนประชากรหนาแน่นที่อยู่ภายในชุมชน คอนโด บ้านจัดสรร มีทั้งโรงเรียน รวมทั้งใกล้มหาวิทยาลัยและโรงพยาบาล โดยได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี

ถือเป็นกลยุทธ์ที่ค่อนข้างจะกลับมุมคิดของตลาดค้าปลีกในช่วงนี้ไม่น้อย เพราะหลายแบรนด์ หลายร้านมีการปรับยุทธ์ศาสตร์ เป็นการขยายร้านในขนาดไซส์เล็กลง เพราะต้องการลดต้นทุนต่างๆ ทั้งค่าที่ ค่าพนักงาน และไปเน้นในส่วนของออนไลน์มากขึ้น

แต่ดูเหมือนว่า MUJI จะมั่นใจกับการขยายร้านไซส์ใหญ่ อาจจะมองแล้วว่า ยิ่งร้านใหญ่ ยิ่งวางสินค้าเยอะ ยิ่งมีโชว์รูมโชว์สินค้าเยอะเท่าไหร่ ยิ่งเพิ่มโอกาสการขายมากขึ้นเท่านั้น

สำหรับ MUJI ได้เริ่มดำเนินธุรกิจในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2549 ในรูปแบบของธุรกิจแฟรนไชส์ จนในปี 2556 ได้ก่อตั้ง บริษัท มูจิ รีเทล (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นการร่วมทุนกับ บริษัท สรรพสินค้าเซ็นทรัล จำกัด ที่เป็นพันธมิตรทางธุรกิจให้ MUJI ในประเทศไทย

ปัจจุบันธุรกิจของ MUJI ในประเทศไทย มีสินค้าจำหน่ายมากกว่า 3,000 รายการ และมีสาขาจำนวน 20 แห่ง ซึ่งรวมสาขาใหม่ ในเดอะมอลล์งามวงศ์วาน ที่เพิ่งเปิดล่าสุดในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา