“พลังงานสะอาด” คืออนาคตของโลกยุคใหม่ ล่าสุดอังกฤษประกาศเลิกใช้รถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยน้ำมันทุกประเภท ให้ได้ภายในปี 2030 ขยับเร็วขึ้นกว่าเเผนเดิมถึง 10 ปี
การสั่งเเบนรถยนต์เชื้อเพลิงน้ำมันในสหราชอาณาจักรดังกล่าว เป็นส่วนหนึ่งในเเผนปฏิวัติอุตสาหกรรมสีเขียว หรือ “Green Industrial Revolution” เพื่อแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน โดยจะมีการผลักดันให้ใช้พลังงานสะอาด อย่างพลังงานลม เเละลงทุนในพลังงานไฮโดรเจน
เดิมที Boris Johnson นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ประกาศก่อนหน้านี้ว่า จะแบนขายรถยนต์เชื้อเพลิงน้ำมันภายในประเทศให้ได้ภายในปี 2040 เเต่จากปัญหาสิ่งเเวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่รุนเเรงขึ้น ทำให้รัฐบาลต้องปรับเเผนให้เร็วตามไปด้วย
อย่างไรก็ตาม ทางการยังอนุญาตให้ “รถยนต์ไฮบริด” จำหน่ายในประเทศต่อไปได้ แต่ต้องหยุดขายภายในปี 2035
นักวิจารณ์ มองว่างบประมาณที่จะใช้ในเเผน Green Industrial Revolution จำนวน 4 พันล้านปอนด์ (ราว 1.6 เเสนล้านบาท) นั้น “น้อยเกินไป” กับความท้าทายที่จะทำให้เกิดความเปลี่ยนเเปลงที่เเท้จริงได้
โดยรัฐบาลหวังว่า โครงการนี้จะส่งเสริมให้มีการจ้างงานโดยรวมเพิ่มขึ้นถึง 250,000 ตำแหน่ง โดยเฉพาะทางตอนเหนือของอังกฤษและเวลส์ ที่จะมีการพัฒนาพลังงานลมอย่างเต็มที่
นอกจากนี้ รัฐบาลยังตั้งเป้าหมายว่า ในปี 2023 ชาวอังกฤษทุกครัวเรือนจะต้องได้ใช้ปั๊มความร้อน (Heat Pump) เเบบไฟฟ้า เพื่อให้ความอบอุ่นเเทนการใช้เครื่องทำความร้อนด้วยแก๊สเเบบดั้งเดิม โดยจะมีการทยอยติดตั้งปั๊มความร้อนเเเบบใหม่กว่า 600,000 เครื่องต่อปี ต่อเนื่องเรื่อยไปจนถึงปี 2028
อีกประเด็นสำคัญของแผนนี้ คือการลงทุน 1.3 พันล้านปอนด์ เพื่อสร้างจุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (EV) เเละทุ่มเงินอุดหนุน ดึงดูดใจให้ประชาชนหันมาซื้อรถ EV เพื่อสร้างการเปลี่ยนเเปลง
เช่นเดียวกับฝรั่งเศสที่ประกาศเเผนทุ่มเงินกว่า 8,000 ล้านยูโร (ราว 2.8 เเสนล้านบาท) ฟื้นฟูอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศ หวังขึ้นเป็นเบอร์ 1 ผู้ผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้าของยุโรป
รัฐบาลฝรั่งเศสจะเเบ่งงบ 1,000 ล้านยูโร (ในวงเงิน 8,000 ล้านยูโร) มากระตุ้นให้เกิดความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าของผู้บริโภค โดยจะมอบเงินสนับสนุนจำนวน 7,000 ยูโร (ราว 2.4 เเสนบาท) ให้กับบุคคลทั่วไปที่ซื้อรถยนต์ไฟฟ้า ส่วนบริษัทที่ซื้อรถยนต์ไฟฟ้าไปใช้ในองค์กรจะได้รับเงินสนับสนุน 5,000 ยูโร (ราว 1.7 เเสนบาท) ต่อคัน
เเละหากใครซื้อรถยนต์ไฮบริดในฝรั่งเศส จะได้รับเงินสนับสนุน 2,000 ยูโร (ราว 7 หมื่นบาท) ต่อคัน ส่วนผู้ที่จะนำรถยนต์ไปเปลี่ยนจากระบบพลังงานน้ำมันเป็นพลังงานอื่นที่ก่อมลพิษน้อยกว่า จะได้รับเงิน 3,000 ยูโร เเละถ้าใครอัพเกรดให้เป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้าก็จะได้รับเงิน 5,000 ยูโรเช่นกัน
อ่านต่อ : เปิดเเผน “ฝรั่งเศส” อัดงบฟื้นอุตฯยานยนต์ หวังพลิกวิกฤตสู่เบอร์ 1 รถยนต์ไฟฟ้าเเห่งยุโรป
สหราชอาณาจักร ตั้งใจจะบรรลุเป้าหมายในการลดปล่อยมลพิษให้เป็น “ศูนย์” ให้ได้ภายในปี 2050 เช่นเดียวกับนโยบายของ “โจ ไบเดน” ว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ
โดยไบเดนบอกว่าจะผลักดันให้อเมริกาบรรลุเป้าหมายลดการแพร่กระจายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ “ให้เป็นศูนย์” ภายในปี 2050 เเละทุ่มงบลงทุน 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในโครงการ “พลังงานสีเขียว” ให้ผลิตพลังงานสะอาดมากขึ้น เเละมองว่าการส่งเสริมสายการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จะเป็นการช่วยคนชนชั้นแรงงานไปในตัวด้วย
อ่านต่อ : คำสัญญาเเละนโยบายของ “โจ ไบเดน” ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 46 ทิศทางใหม่อเมริกา
ด้านผลวิจัยของ UBS ชี้รถยนต์ไฟฟ้า อาจมี “ราคา” เท่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมัน ภายในปี 2024 หรืออีก 4 ปีข้างหน้านี้ เเละอาจมียอดขายครองสัดส่วน “ตลาดรถยนต์โลก” มากขึ้นถึง 40% ได้ในปี 2030
UBS ธนาคารรายใหญ่ที่สุดของสวิตเซอร์แลนด์ ระบุว่า จากการวิเคราะห์ข้อมูลของ “แบตเตอรี่” สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าจากโรงงานผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุด 7 แห่งทั่วโลก พบว่า รถยนต์ไฟฟ้า มีเเนวโน้มจะมีราคาเทียบเท่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมัน ได้ภายในปี 2024 เนื่องจากต้นทุนการผลิตแบตเตอรี่มีราคาถูกลง รวมถึงความก้าวหน้าของเทคโนโลยีต่างๆ ช่วยให้ต้นทุนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าลดลงไปอีก
โดยคาดว่าในปี 2022 ส่วนต่างที่เเพงกว่าในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ใช้น้ำมัน จะลดลงเหลือเพียง 1,900 เหรียญสหรัฐ (ราว 60,000 บาทต่อคัน) และต้นทุนในการผลิตรถยนต์ทั้งสองเครื่องยนต์จะใกล้เคียงกันได้ภายในปี 2024
ถือเป็นก้าวสำคัญของอุตสาหกรรมรถยนต์ ที่กำลังจะเข้าสู่ยุคเเห่งการเปลี่ยนผ่านจากรถยนต์เครื่องยนต์สันดาป (ใช้น้ำมัน) มาเป็นรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ
ที่มา : BBC , The Guardian