สุขภัณฑ์อัตโนมัติขายดีขึ้นหลังโรคระบาด TOTO ลดราคา 13% เจาะตลาดกลางเพิ่ม

TOTO (โตโต้) แบรนด์สุขภัณฑ์จากญี่ปุ่น เปิดเทรนด์หลัง COVID-19 ทำให้ทั่วโลกมีดีมานด์สุขภัณฑ์อัตโนมัติเพิ่มขึ้นสูง รวมถึงในไทย โดยตลาดปีนี้หันมาเติบโตในกลุ่ม B2C มากกว่าเดิม เนื่องจากโครงการ B2B ระดับบนชะลอการเปิดตัวใหม่ กลุ่มสินค้าเกรดเอราคา 1 แสนบาทขึ้นไปยังขายดีที่สุด ขณะที่ตลาดกลางราคาไม่เกิน 3 หมื่นบาท บริษัทมีการลดราคารุ่นเริ่มต้นลงมา 13% เหลือ 15,900 บาทเพื่อให้เข้าถึงง่ายขึ้น

กระแสสุขภัณฑ์อัตโนมัติเริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้นช่วงหลัง COVID-19 เพราะผู้ใช้กังวลเรื่องการสัมผัสและความสะอาดทำให้โถสุขภัณฑ์ที่มีสายชำระในตัวดูปลอดภัยกว่า เรื่องนี้ได้รับการยืนยันจาก “ทาคายะสุ ชิมาดะ” ประธาน บริษัท โตโต้ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตสินค้าสุขภัณฑ์ TOTO จากญี่ปุ่นว่า กลุ่มสุขภัณฑ์อัตโนมัติมียอดขายเพิ่มขึ้นทั่วโลก รวมถึงในไทยด้วย แม้ว่าจะไม่สามารถระบุตัวเลขที่ชัดเจนได้ แต่เป็นข้อมูลที่สอดคล้องกับกลุ่มลิกซิลที่ระบุก่อนหน้านี้ว่า COVID-19 ทำให้สุขภัณฑ์อัตโนมัติขายดีขึ้น 100% ทั่วโลก

สำหรับแบรนด์ TOTO นั้นเข้ามาตั้งโรงงานผลิตสุขภัณฑ์แห่งแรกในไทยเมื่อปี 2552 ยุคนั้นยังร่วมกับเอสซีจีเป็นผู้จัดจำหน่าย ก่อนจะแยกตัวออกมาทำการตลาดและจำหน่ายเองในปี 2556 จากนั้นจึงตั้งโรงงานผลิตสุขภัณฑ์แห่งที่สองในปี 2562 ตามด้วยโรงงานผลิตฝารองนั่งอัตโนมัติ (Washlet) ในปี 2563 ทั้งหมดตั้งอยู่ที่ อ.หนองแค จ.สระบุรี

โรงงานผลิตฝารองนั่งอัตโนมัติ (Washlet) ของ TOTO อ.หนองแค จ.สระบุรี

ปัจจุบันมีกำลังผลิตโถสุขภัณฑ์รวมสองโรงงาน 960,000 ชิ้นต่อปี และกำลังผลิตฝารองนั่งอัตโนมัติ 450,000 ชิ้นต่อปี สินค้าที่ผลิต 60% ส่งออกต่างประเทศ ได้แก่ ญี่ปุ่น ประเทศกลุ่มอาเซียน และสหรัฐอเมริกา ส่วนอีก 40% สำหรับจำหน่ายในไทย

เมื่อปี 2562 ตลาดในไทยของ TOTO จะแบ่งเป็นกลุ่มลูกค้า B2B และ B2C ในอัตราส่วนใกล้เคียงกัน 50:50 แต่ปี 2563 ชิมาดะกล่าวว่า อัตราส่วนกลุ่ม B2B ลดลงเหลือ 40% ส่วน B2C ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 60% เนื่องจากโครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับบนมีการเปิดโครงการใหม่น้อยลง ทำให้ TOTO มีโอกาสขายน้อยลงไปด้วย แต่กลุ่ม B2C มีความนิยมสูงขึ้นตามเทรนด์ใส่ใจความสะอาดดังกล่าว

 

แสนอัพยังขายดี ลดราคากลุ่มกลางตีตลาดเพิ่ม

สินค้าของ TOTO จะตีตลาดกลางถึงไฮเอนด์เป็นหลัก แบ่งเป็นกลุ่ม B ราคาไม่เกิน 30,000 บาท กลุ่ม B+ ราคา 30,000-99,999 บาท และกลุ่ม A คือราคา 100,000 บาทขึ้นไป ชิมาดะเปิดเผยว่า กลุ่มที่มีสัดส่วนสูงที่สุดในยอดขายและยังคงเติบโตดีที่สุดในเศรษฐกิจเช่นนี้ คือกลุ่มตลาดไฮเอนด์เกรด A

TOTO เป็นเจ้าแรกในไทยที่นำฝารองนั่งอัตโนมัติเข้ามาจำหน่าย และมีจุดยืนทางการตลาดของตัวเองที่เน้นด้านเทคโนโลยีมาตลอด เช่น Tornado Flush ชำระล้างสิ่งสกปรกได้หมดจดโดยใช้น้ำเพียง 3.8 ลิตร Cefiontect เคลือบสารพิเศษบนผิวเซรามิก ทำให้สิ่งสกปรกเกาะสะสมยาก ดังนั้น การทำตลาดจะเน้น “คุณภาพ” มาคู่กับ “แบรนด์” ชูประเด็นความคงทนของสินค้า ใช้ได้นานกว่าสิบปี และในกลุ่มเกรด A ซึ่งมีดีไซน์สวยงาม เหมาะกับการแสดงสถานะในบ้านหรูของลูกค้า

(ซ้าย) ฮิโรกิ ฟูจิมูระ ผู้จัดการโรงงาน และผู้เชี่ยวชาญจากญี่ปุ่นสินค้า WASHLET อธิบายคุณสมบัติของสุขภัณฑ์

ด้านสินค้ากลุ่ม B บริษัทก็ให้ความสนใจมากขึ้นเช่นกัน โดยชิมาดะกล่าวว่า ลูกค้าหลายรายเข้ามาดูสินค้าจริงที่โชว์รูมแล้วพึงพอใจ แต่ราคายังสูงเกินไป ทำให้ฝารองนั่งอัตโนมัติรุ่นใหม่ที่บริษัทจะออกจำหน่ายวันที่ 14 ธันวาคมนี้ จะปรับลดราคาลงมาเริ่มต้นที่ 15,900 บาท ลดลงจากรุ่นที่ถูกที่สุดรุ่นเดิม 13% และหากซื้อพร้อมกับตัวโถสุขภัณฑ์จะเริ่มต้นที่ 17,700 บาท ซึ่งน่าจะทำให้เข้าถึงลูกค้าได้ง่ายขึ้น

ก่อนหน้านี้ TOTO อาจจะเป็นเจ้าเดียวที่นำฝารองนั่งอัตโนมัติเข้ามาจำหน่าย แต่เมื่อสินค้าเริ่มมีดีมานด์ แบรนด์อื่นก็มีจำหน่ายเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น COTTO, Kohler, American Standard ซึ่งกลุ่มนี้เจาะตลาดกลางถึงไฮเอนด์ รวมถึงมียี่ห้อที่เจาะราคาย่อมเยาลงมาคือเสนอราคาไม่ถึง 10,000 บาท เริ่มเข้ามาบุกตลาดเช่นกัน เช่น Bebe, Xiaomi

 

เน้น “ประสบการณ์ผู้ซื้อ” สร้างความเชื่อมั่นในแบรนด์

เมื่อมีผู้เล่นในตลาดมากขึ้น แต่ทางชิมาดะยืนยันว่า TOTO จะไม่ลงไปเล่นสงครามราคาแน่นอน แต่จะเน้นสื่อสารออนไลน์ให้ลูกค้ารู้จักและเข้าใจคุณภาพ และเมื่อสนใจสินค้าก็จะแนะนำให้มาทดลองสัมผัสสินค้าที่โชว์รูม (ปัจจุบันมี 62 แห่งทั่วประเทศ)

“ทาคายะสุ ชิมาดะ” ประธานบริษัท โตโต้ (ประเทศไทย) จำกัด

จุดสำคัญและได้เปรียบอย่างหนึ่งของ TOTO คือเรื่องของ “ประสบการณ์” ลูกค้า ชิมาดะกล่าวว่า ลูกค้าหลายรายที่ตัดสินใจซื้อเพราะรู้จักและเคยใช้ TOTO จากสถานที่สาธารณะ เช่น โรงแรม ศูนย์การค้า โดยเฉพาะที่ประเทศญี่ปุ่นซึ่งบริษัทเป็นเจ้าตลาด ทำให้เข้าห้องน้ำในญี่ปุ่นส่วนใหญ่ก็จะต้องเจอแบรนด์นี้ ส่วนในไทยก็มีติดตั้งในสถานที่สาธารณะ เช่น เซ็นทรัล เอ็มบาสซี, โรงแรมดิ โอกุระ เพรสทีจ กรุงเทพฯ, โรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ เป็นต้น

“เวลาไปที่ร้านสุขภัณฑ์ในไทย เซลส์มักจะเน้นแต่เรื่องความสวยงามและราคา แต่ TOTO ไม่ต้องการให้มองอย่างนั้น เราอยากให้เน้นที่เรื่องคุณภาพ ต้องใช้ได้ดีและใช้ได้นาน” ชิมาดะกล่าว “โจทย์สำคัญในไทยตอนนี้คือต้อง educate ตลาดให้เข้าใจความสำคัญของการเลือกสุขภัณฑ์คุณภาพ ซึ่งเชื่อว่าตลาดไทยมีศักยภาพในเรื่องนี้ เพราะปกติคนไทยเป็นคนรักความสะอาดไม่ต่างจากคนญี่ปุ่น เพียงแต่ต้องทำอย่างไรให้เลือกสุขภัณฑ์ได้ถูกต้องเท่านั้น”