ไฟเขียว Baidu เทสต์ “รถยนต์ไร้คนขับ” ในปักกิ่ง โดยไม่ต้องมีมนุษย์ควบคุมในห้องโดยสาร

Apollo Park ศูนย์การพัฒนารถยนต์ไร้คนขับในเขตอี้จวง ชานเมืองปักกิ่ง
โครงการ Apollo “รถยนต์ไร้คนขับ” ของบริษัท Baidu ยักษ์ใหญ่เทคโนโลยีจีน ได้ไฟเขียวจากทางการให้ทดลองใช้รถ 5 คันใจกลางเมืองปักกิ่ง โดยไม่ต้องมีคนขับที่เป็นมนุษย์ในห้องโดยสาร แต่ให้ควบคุมระยะไกล เป็นอีกหนึ่งความคืบหน้าในศึกรถยนต์ไร้คนขับที่ทั่วโลกกำลังแข่งขันกันพัฒนา

รถยนต์ไร้คนขับ หรือ เอดี (AD: Autonomous Driving Vehicles) จากโครงการ Apollo ของ Baidu ได้รับใบอนุญาตจากทางการจีนทั้งหมด 5 ใบ เพื่อให้เริ่มเทสต์รถเอดี 5 คันในบริเวณจำกัดของกรุงปักกิ่ง เมืองหลวงประเทศจีน โดยไม่ต้องมีมนุษย์ควบคุมในห้องโดยสาร

ใบอนุญาตที่ให้กับ Apollo นี้เกิดขึ้นหลังจากเทศบาลเมืองปักกิ่งปลดล็อกกฎหมายเมื่อเดือนก่อน ให้การทดสอบรถยนต์ไร้คนขับสามารถกระทำได้โดยไม่ต้องมีมนุษย์ควบคุมในห้องโดยสาร แต่ให้ใช้การควบคุมระยะไกลเพื่อความปลอดภัยแทน

กรณีของ Apollo จะมีการทดสอบโดยใช้คนขับที่เป็นมนุษย์ 5 คนควบคุมรถเอดี 1 คนต่อ 1 คัน ผ่านเครือข่ายสัญญาณ 5G และจะต้องซื้อประกันให้รถยนต์คันละ 5 ล้านหยวนหากขับบนถนนปกติ และ 10 ล้านหยวนหากจะนำรถขึ้นทางด่วน

กรุงปักกิ่งนั้นเป็นหนึ่งในเมืองชั้นนำของจีนที่วางเครือข่ายสัญญาณ 5G ยุคใหม่ สามารถรองรับการส่งสัญญาณได้มากกว่าและลดการหน่วงของการส่งผ่านข้อมูล (latency) ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของการพัฒนารถเอดี

โรโบแท็กซี่ของ Baidu

การแข่งขันพัฒนา “รถยนต์ไร้คนขับ” เป็นศึกการพัฒนาระดับโลก ทั้งจีน สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่นต่างกำลังพัฒนากันอย่างเต็มความสามารถ และเป็นโครงการพัฒนาที่ท้าทายมาก เพราะในสถานการณ์จริงนั้น รถเอดีจะต้องเจอความซับซ้อนของการจราจรที่แสนวุ่นวาย

สำหรับ Apollo นั้นเคยมีการทดสอบในฐานะ “โรโบแท็กซี่” หรือ แท็กซี่ไร้คนขับ มาแล้วในเขตชานเมืองปักกิ่ง 3 จุด เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา และก่อนหน้านั้นเคยบริการอยู่ในเมืองฉางซา มณฑลหูหนาน และเมืองชางโจว มณฑลเหอเป่ย ด้วยการลงทุนพัฒนาที่สูงทั้งค่าเทคโนโลยี Lidar ติดตั้งเซ็นเซอร์ และระบบคอมพิวเตอร์ในรถ เพราะฉะนั้นการนำมาบริการเป็นแท็กซี่ขณะนี้จึงยังไม่มีกำไร

อย่างไรก็ตาม หลี่ เจิ้นหยู หัวหน้าทีม Apollo เคยให้ข่าวก่อนหน้านี้ว่า บริษัทต้องการจะพัฒนาอุตสาหกรรมในระยะยาว และจะส่งต่อเทคโนโลยีเหล่านี้ให้กับพันธมิตรในอุตสาหกรรมรถยนต์ดั้งเดิมต่อไป

Source