เปิดกลยุทธ์ “เซ็นทรัลเวิลด์” เบอร์ 1 ศูนย์การค้าไทย ปั้นเดสติเนชั่นอาหารแหล่งรวมร้านอร่อย ที่ใหญ่ที่สุดระดับโลกในคอนเซ็ปต์ “ENDLESS DISCOVERY WORLD OF FOOD”


ประเทศไทยที่ขึ้นชื่อเรื่องอาหารโด่งดังไปทั่วโลก จนเรียกได้ว่าเป็นสวรรค์ของเหล่านักกิน แถมยังมีร้านอาหารขายตลอด 24 ชั่วโมง มี Street food ชื่อดังมากมายให้ทานได้ตลอดเวลา แสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมผู้บริโภคในไทยที่รักการกิน ดื่ม เป็นชีวิตจิตใจ แถมเฉลี่ยต่อวันยังรับประทานกันถี่มากถึง 6-8 มื้ออีกด้วย

เซ็นทรัลเวิลด์ในฐานะแลนด์มาร์คใจกลางกรุงเทพฯ บริหารโดย บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านธุรกิจศูนย์การค้าเบอร์หนึ่งของไทย ที่ปรับเปลี่ยนธุรกิจได้ทันโลก และตอบรับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงได้อยู่เสมอ และด้วยความเชี่ยวชาญในตลาดรีเทล เพราะเป็นรายใหญ่ และรายแรกที่อยู่มานานเกินกว่า 40 ปี ย่อมทำให้เข้าใจความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างลึกซึ้ง

มาครั้งนี้จับอินไซต์ผู้บริโภคยุคใหม่ ที่ใส่ใจเรื่องกินเป็นปัจจัยสำคัญของชีวิต ชูกลยุทธ์ The Biggest Food Destination in Asia ที่รวมร้านอร่อยครบที่สุดและใหญ่ที่สุดระดับโลก ในคอนเซ็ปต์ “ENDLESS DISCOVERY WORLD OF FOOD” ประสบการณ์ความอร่อยแบบไม่สิ้นสุด

โดยตั้งเป้าเจาะกลุ่ม ‘Food Tribes’ หรือคนที่มีความหลงใหลในเรื่องอาหาร โดยแบ่งตาม Lifestyle insight คือ

1) Hunger filler คนที่สนุกกับการตระเวนหาของอร่อยทาน

2) Heart & Soul filler คนที่มีมุมมองว่าอาหารคือศิลปะ ชอบดื่มด่ำอาหารในรูปแบบต่างๆ ให้ความสำคัญในทุกรายละเอียด ทั้งรูป-รส-กลิ่น-เสียง หรือแม้แต่การตกแต่งและ Ambience ของร้านอาหาร และ

3) Skill filler คนที่ชอบพัฒนาทักษะการทำอาหาร สนุกกับการคิดค้นเมนูใหม่ๆ

เซ็นทรัลเวิลด์ โฟกัสกลยุทธ์เรื่องการเป็นเดสติเนชั่นด้านอาหารมาโดยตลอด และได้เฟ้นหาร้านดังในตำนาน, ร้านอร่อยระดับมิชลินสตาร์ และมิชลินไกด์, ร้านที่เป็น First Time in Thailand, ร้านในไทยที่มีตำนานความอร่อยชนิดที่ต้องจองคิวยาวข้ามเดือน รวมถึงร้านที่ตอบโจทย์เทรนด์ใหม่ๆ อย่างเทรนด์สุขภาพ ทั้งหมดนี้รวมไว้ที่เซ็นทรัลเวิลด์

เพราะสิ่งที่ Physical Store อย่างศูนย์การค้าสามารถสู้กับ e-commerce ได้คือเรื่องของ “ประสบการณ์” ซึ่งเป็นสิ่งที่หาไม่ได้จากโลกออนไลน์ การชู“ประสบการณ์ด้านอาหาร” (Food Experience) ย่อมเป็น magnet สำคัญที่ช่วยดึงดูดผู้บริโภค ให้เลือกที่จะออกมาสัมผัสประสบการณ์ที่ศูนย์การค้า แทนที่จะเลือกใช้บริการ food delivery

หนึ่งในเดสติเนชั่นอาหารที่รวมร้านอร่อย และใหญ่ที่สุดระดับโลก ในคอนเซ็ปต์ “ENDLESS DISCOVERY WORLD OF FOOD”

ชูจุดเด่นการเป็นศูนย์การค้าแห่งเดียวในไทย ที่รวบรวมร้านอาหารอร่อยทุกรูปแบบมาไว้ในที่เดียวมากถึง 215 ร้านครบทุกประเภท บนพื้นที่ 46,000 ตร.ม. ใหญ่เทียบเท่า 3 สนามฟุตบอล ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ ทุกแพชชั่นการกินและการทำอาหารอย่างแท้จริง มีตั้งแต่วัตถุดิบอาหารสดคุณภาพดี, ร้านอาหารครบทุกสไตล์ ตั้งแต่ระดับ มิชลินสตาร์ และมิชลินไกด์, Street Foods, Café Societyที่มี café มากที่สุด ร้านอาหารเพื่อสุขภาพสำหรับสายhealthy ไปจนถึง สถาบันสอนทำอาหารระดับโลกแห่งเดียวในไทยอย่าง Le Cordon Bleu Dusit มารวมไว้ในที่เดียว เพื่อให้ผู้บริโภคได้มาสร้าง Personalize experience ด้านอาหารได้อย่างหลากหลาย ไร้ข้อจำกัด มาที่เดียวได้ครบ จบทุกเรื่องความอร่อย

เปิดตัว “FOOD BIBLE” ตอบทุกคำถาม “กินอะไรดี ที่เซ็นทรัลเวิลด์”

จับอินไซต์ผู้บริโภค กับคำถามยอดฮิต “วันนี้กินอะไรดี?” เพราะไลฟ์สไตล์การทานอาหารเป็นเรื่องที่ไม่ตายตัว เปลี่ยนได้ตลอดเวลาขึ้นอยู่กับแต่ละโอกาส ทั้งสังสรรค์กับเพื่อน, ทานข้าวกับครอบครัว, Business Hangout หรือการหาร้านอาหารจานด่วนทานเร็วๆ ช่วงพักเที่ยง

“ฟู้ดไบเบิ้ล” จึงเป็นเหมือนไกด์ไลน์ความอร่อย ที่รวมลิสต์ร้านอาหารทั้งหมดในเซ็นทรัลเวิลด์ โดยแบ่งตาม Lifestyle Insight การทานอาหารของคนออกเป็น 8 สาย เพื่อให้ง่ายต่อการเลือกกิน ได้แก่ สายมิชลิน, สายคาเฟ่ของหวาน,สายแข็งชาบู-ปิ้งย่าง, สายอินเตอร์, สาย Thai taste, สายกินง่ายๆ, สายปาร์ตี้แฮงค์เอ้าท์, และสายครีเอทีฟคุ้กกิ้ง

ชูไฮไลท์เด็ด “สายมิชลิน” รวมร้านดังมิชลินสตาร์ และมิชลินไกด์รวม 9 ร้าน

ครั้งแรกในไทยกับ 2 ร้านระดับมิชลินสตาร์ TSUTA (ซึตะ) ร้านราเมนร้านแรกของโลกและร้านแรกของญี่ปุ่นที่ได้รับ 1 ดาวมิชลินถึง เมื่อปี 2015 โดยจะมาเปิดให้บริการในวันอังคารที่ 22 ธ.ค. นี้ และ KAM’S ROAST GOOSE ร้านห่านย่างเจ้าดังจากฮ่องกง การันตีความอร่อยระดับ 1 ดาวมิชลินถึง 5 ปีซ้อนที่เตรียมเปิดในเดือน ม.ค. 64 นอกจากนี้ยังมีร้านอร่อยที่ได้รับการแนะนำจากมิชลินไกด์อีก 7 ร้าน

“สายคาเฟ่ของหวาน” CAFÉ SOCIETY และอาณาจักรชานมไข่มุก คาเฟ่ของหวาน และกาแฟ

ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคนี้ รวมคาเฟ่ไว้เยอะที่สุดถึง 100 ร้าน และร้านชานมไข่มุก 18 ร้านดัง รวมถึงคาเฟ่เบเกอรี่ และของหวานนานาชาติมากถึง 82 ร้านจาก 10 สัญชาติ ยกตัวอย่างไฮไลท์พลาดไม่ได้ อาทิ

· ร้านกาแฟชื่อดัง : The Coffee Academics ซึ่งเป็น Specialty coffee ที่ The Telegraph ให้ติดอันดับ The World’s best coffee shop ประจำปี 2016 และได้รับการแนะนำโดย Michelin Guide 2017, Host & Amber, Roast กาแฟระดับพรีเมี่ยมแบรนด์ดังจากฮ่องกง, Pacamara, Red diamond และเป็นที่เดียว ที่มี Starbuckถึง 4 สาขา รวมถึง Starbuck Reserve Café สาขาที่ใหญ่ที่สุดของไทย ใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ของโลกรองจากจีน

· อาณาจักรของหวาน ขนมและชาไข่มุก อาทิ TP Tea ต้นตำรับชานมไข่มุกเจ้าแรกของโลกและเป็นสาขาแรกในประเทศไทย, Xing Fu Tang ชานมไข่มุกอันดับหนึ่งของไต้หวัน, Anri bakery พายแอปเปิ้ลชื่อดังของญี่ปุ่น, After You, Yomie’s rice, Zakuzaku, Paris Mikki, Paul, Eric Kayser

“สายปาร์ตี้แฮงค์เอ้าท์” ที่โซน GROOVE ที่ได้รับการยอมรับให้เป็น HANGOUT DESTINATION ดีที่สุดใจกลางกรุงเทพฯ

รวมร้านกินดื่มยอดฮิตหลายสัญชาติมากถึง 15 ร้าน และล่าสุดกับ THE CASSETTE MUSIC BAR และ ร้านดังโค-ลิมิเต็ดและ SPANISH TAPAS BAR ที่เตรียมเปิดเร็วๆนี้

นอกจากนี้ ยังมี Lifestyle insight อีก 5 สายความอร่อย ที่สายกินต้องไม่พลาดอย่างเด็ดขาด ได้แก่ “สายแข็งชาบู-ปิ้งย่าง” ที่รวมร้านอร่อยไว้มากถึง 14 ร้าน เหมาะสำหรับทั้งครอบครัว, สายสุขภาพ, Meat lover และร้านดังระดับเทพของสายฮ๊อตพอทอย่าง Haidilao ต่อด้วย “สายอินเตอร์” ที่รวมร้านอร่อยจากทั่วโลกไว้ในที่เดียวทั้งหมด 10 สัญชาติทั้ง Asian และ Western รวม 45 ร้านดัง, “สาย Thai Taste” รวม 16 ร้าน มีตั้งแต่อาหารไทยต้นตำรับ ไทยอีสาน เมนูหาทานยาก ไปจนถึงอาหารไทยฟิวชั่น, “สายอาหารสายกินง่ายๆ กินเร็ว” ทั้งร้านอาหารจานเดียว, ร้านก๋วยเตี๋ยว และฟาสต์ฟู้ดรสชาติระดับเทพ รวม 14 ร้าน และปิดท้ายที่ “สายครีเอทีฟ คุ้กกิ้ง” แห่งเดียวในไทยที่มีสถาบันสอนทำอาหารระดับโลกอย่าง Le Cordon Bleu Dusit และสตูดิโอสอนทำอาหารที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น ABC Cooking Studio ตอบโจทย์คนที่รักการทำอาหารอีกด้วย

เรียกได้ว่า เซ็นทรัลเวิลด์อ่านใจผู้บริโภคได้ขาด พร้อมตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์แบบเหนือความคาดหมาย สมแล้วที่ครองแชมป์ผู้นำอันดับ1 ด้านศูนย์การค้าของไทยมายาวนานกว่า 40 ปี…..

#EndlessDiscoverywOrldofFood

#กินอะไรดีที่เซ็นทรัลเวิลด์

แสกนเพื่อรับไฟล์ centralwOrld Food Bible