“เวียดนาม” ซื้อวัคซีน AstraZeneca ล็อตใหญ่ 30 ล้านโดส เจรจาอีก 4 รายเตรียมสั่งเพิ่ม

(Photo : Shutterstock)
“เวียดนาม” สั่งซื้อวัคซีนป้องกัน COVID-19 จากบริษัท AstraZeneca (AZ) จำนวน 30 ล้านโดสสำเร็จ แย้มกำลังเจรจาผู้ขายอีก 4 ราย เพื่อหาทางสั่งซื้อเพิ่มให้เพียงพอกับประชากร

รัฐบาลเวียดนามประกาศสั่งซื้อวัคซีนป้องกัน COVID-19 จากบริษัท AstraZeneca (AZ) จำนวน 30 ล้านโดส ซึ่งจะครอบคลุมประชากรได้ 15 ล้านคน และยังระบุด้วยว่า รัฐบาลยังคงเจรจาหาทางซื้อวัคซีนจากแหล่งอื่น ๆ เพิ่มอีก

ก่อนหน้านี้ เวียดนามตกลงที่จะส่งซื้อวัคซีนของรัสเซียจำนวน 50-150 ล้านโดสเมื่อเดือนสิงหาคม 2020 แต่รายละเอียดการขนส่งเข้ามาในประเทศดูจะยังไม่ชัดเจน และปัจจุบันก็ยังไม่มีการประกาศอนุญาตใช้งานวัคซีน COVID-19 ใด ๆ ภายในประเทศ

เวียดนามระบุว่า รัฐบาลกำลังอยู่ระหว่างเจรจาการซื้อวัคซีนอยู่กับแหล่งผลิตอีก 4 ราย คือ Pfizer Inc, Sputnik V ของรัสเซีย และวัคซีนยี่ห้อหนึ่งของจีน รวมถึงมีการเจรจากับ องค์การอนามัยโลก (WHO) เพื่อขอซื้อวัคซีน COVAX ให้กับประชากร 15.6 ล้านคน โดยจะเปิดเผยความคืบหน้าภายในไตรมาสแรก

Photo : Shutterstock

สำหรับวัคซีนของ AstraZeneca ถือเป็นวัคซีนยอดนิยม เนื่องจากมีราคาถูกกว่าวัคซีนยี่ห้ออื่น และยังสามารถเก็บรักษาในอุณหภูมิของตู้เย็น ทำให้การขนส่งและใช้งานง่ายกว่า ซึ่งวันนี้ (4 ม.ค. 64) ประเทศอังกฤษเริ่มฉีดวัคซีนของ AZ เข็มแรกจากวัคซีนล็อตแรก 5 แสนโดสเรียบร้อยแล้ว

ทั้งนี้ รัฐบาลเวียดนามมองว่าจะไม่รีบร้อนตกลงดีลซื้อขายวัคซีนใดจนเกินไป เพราะสถิติการติดเชื้อภายในประเทศมีเพียง 1,494 ราย และมีผู้เสียชีวิต 35 รายเท่านั้น จากประชากรทั้งหมด 98 ล้านคน ดังนั้น การรีบร้อนซื้ออาจจะทำให้ได้ดีลในราคาสูง

ด้านการพัฒนาวัคซีนของเวียดนามเองในชื่อ ‘Nano Covax’ เริ่มทดลองในมนุษย์เฟสแรกแล้ว และการพัฒนาวัคซีนด้วยตนเองตัวที่สองของเวียดนามจะเริ่มทดลองในมนุษย์ภายในเดือนนี้

ส่วนประเทศไทย ปัจจุบันมีการสั่งซื้อวัคซีนล็อตใหม่จาก Sinovac ประเทศจีนเข้ามา 2 ล้านโดส ซึ่งจะเข้ามาเร็วภายในเดือนกุมภาพันธ์นี้ ขณะที่วัคซีน AstraZeneca จำนวน 26 ล้านโดส จะเข้ามาราวกลางปี 2564 และประเทศไทยมีการทดลองคิดค้นวัคซีนป้องกัน COVID-19 ด้วยตนเองเช่นกัน ที่คืบหน้ามากที่สุดคือวัคซีนที่พัฒนาโดย ศูนย์วิจัยวัคซีน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มทดลองในมนุษย์ครั้งแรกช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้

Source